12 years a Slave ไม่ใช่แค่วรรณกรรมแต่คือ ประวัติศาสตร์
“หนังสือเรื่องนี้ทำให้ สการ์เล็ต โอฮาร่า ใน Gone with the wind กลายเป็นหนูน้อยในทันทีทันใด”
.
คำสรรเสริญเยินยออันนี้มิใช่เรื่องเกินจริงสำหรับหนังสือที่บันทึกความทรงจำอันแสนเลวร้ายในระยะ 12 ปีของชายหนุ่มผิวสีหัวใจเสรีชนนามว่า โซโลมอน นอร์ธธัพ ผู้ซึ่งต้องพบประสบการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อเขาถูกลักพาตัวจากเพนซิลเวเนีย อเวนิว ก่อนจะถูกส่งไปเป็นทาสทนทุกข์ทรมานในไร่ฝ้ายที่หลุยส์เซียนา ทั้ง ๆ ที่เขานั่นคือ เสรีชนที่มีทั้งครอบครัว การศึกษา และ ฝีมือทางการเล่นดนตรี และเอกสารความเป็นมนุษย์
.
เขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสในไร่แห่งนี้ด้วยฝีมือของมนุษย์ด้วยกัน แต่พวกเขาไม่เคยมองเขาเป็นมนุษย์เลยสักครั้ง แม้ว่า เขาจะพยายามหาทางหนีก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่อาจจะหนีไปได้สำเร็จ กระทั่งได้พบกับช่างไม้ชาวแคนาดานามว่า แซมวล แบสส์ ผู้เป็นผู้ต่อต้านการค้าทาส ซึ่งเป็นคนที่มีส่วนช่วยให้นอร์ธธัพหนีจากนรกบนดินนี้ได้สำเร็จ
.
ภายหลังการทรมานกว่า 12 ปี นอร์ธธัพ ตัวเขาได้กลายเป็นหัวหอกของกลุ่มที่มีชื่อว่า Underground Railroad ซึ่งเป็นเครือข่ายใต้ดินยุตศตวรรษที่ 19 ซึ่งช่วยทาสผิวดำให้หนีจากอเมริกา พร้อมกับเริ่มเขียนหนังสือโดยหยิบยืมความทรงจำอันเจ็บปวดของเขามาถ่ายทอดลงไปทุกตัวอักษร ทุกความทรงจำ
.
กล่าวกันว่า เขาจะเขียนมันจบนั้นบางครั้งถึงกับร้องไห้ออกมาหลายครั้ง เมื่อประสบการณ์หลอนนั้นฝังใจเขาไม่ลืมเลือนไปเลย
.
หนังสือของเขาได้รับการตีพิมพ์ในปี 1853 และกลายเป็นหนังสือที่ถูกพูดถึงไปทั่วย่อมหญ้า เรื่องราวของเขากลายเป็นเสมือนเรื่องราวที่น่าตื่นตะลึงอันว่า ด้วย คนผู้พลิกพันจากการมีเสรีภาพไปเป็นทาส เรื่องราวในหนังสือว่าด้วยการทรยศ , การรักษาศรัทธาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายของมนุษย์ด้วยกัน และที่เหนืออื่นใด คือ การทำให้คนอ่านขนลุกและน้ำตารื้นกับความจริงที่ว่า
.
เสรีภาพ อิสรภาพ และความสุขนั้นเป็นสิ่งแสนเปราะบาง มันพร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อเมื่อแผ่นดินไร้ซึ่งความเสมอภาค
.
หนังสือของเขากลายเป็นหนึ่งในหัวหอกที่เร่งไฟแห่งความขัดแย้งของสังคมต่อประเด็นของทาสให้เร่าร้อน ซึ่งเป็นระลอกที่สองที่มาพร้อมกับนิยายเรื่อง Uncle tom’s Cabin หรือ กระท่อมน้อยของลุงทอม ของ แฮร์เรียต บีเชอร์ สโตว์ ที่ตีพิมพ์ไปก่อนหน้านี้
.
ด้วยความยอดเยี่ยมและเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจนี้กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ปรานาธิบดีอัมบราฮัม ลินคอล์น ประกาศเลิกทาส และนำไปสู่สงครามกลางเมือง ที่มีผลทำให้การเลิกทาสเกิดขึ้นในที่สุด
.
“12 Years a slave เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติอเมริกา แบบเดียวกับที่ The Diary of anne frank เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ชาติยุโรป บุคคลในสองเรื่องนี้ต่างเป็นปัจเจกชนผู้สู้กับความโหดร้ายตามลำพังอย่างเงียบงัน เพื่อรักษาสิ่งที่เรียกว่า จิตวิญญาณเอาไว้ให้รอด”
.
สตีฟ แม็กควีน ผู้กำกับผิวสีผู้ทำหนังแนวสะท้อนสังคมมานานอย่างเรื่อง Hunger และ Shame กล่าวถึงหนังสือเรื่องนี้ที่เขาเลือกมาทำหนังโดยตัดสินเล่าเรื่องมันในแบบหนังระทึกขวัญเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความน่าสยดสยองและความน่ากลัวของการค้าทาส และ การที่มนุษย์นั้นทำลายกันเอง
.
“เราจะเล่าเรื่องนี้ไปทำไมกันล่ะ ถ้าไม่เล่ากันตรง ๆ”
.
ชิวเอเทล อีโจเฟอร์ ผู้รับบทเป็น นอร์ธธัพกล่าวสนับสนุนเรื่องราวนี้
.
แน่นอนว่า หนังประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งรายได้ คำวิจารณ์ และคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์มาได้สำเร็จนับว่า เป็นความสำเร็จสูงสุดที่ภาพยนตร์เล็ก ๆ เรื่องนี้ทำได้
.
“หนังเรื่องนี้เป็นความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงทางศิลปะที่สร้างการโต้เถียง เพราะแม็กควีนเปลี่ยนประเด็นทางการประวัติศาสตร์ที่ดูเหมือนห่างไกลให้กลายเป็นประสบการณ์ใกล้ตัว จนเรารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญมันด้วยตัวเอง”