พรสวรรค์และพรแสวงสู่การเป็น "คนรัก"
พรสวรรค์สู่การเป็น "คนรัก"
"พรสวรรค์" คือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิด จะเรียกว่าเป็นวิบากกรรม กมลสันดาน หรือเป็นผังสำเร็จก็ว่าได้...จะพบว่าบางคนเกิดมาไม่มีใครสอน ก็สอนตัวเองเป็น รักตัวเอง ดูแลตัวเอง แล้วยังเผื่อแผ่ความรักนั้นไปยังผู้คนรอบข้างอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี ใครได้เป็นเจ้าของชีวิต หรือได้อยู่ใกล้ ก็ทำให้รู้สึกชื่นตาชื่นใจทุกครั้งที่พบเห็น ไปไหนมาไหนใครๆก็รัก มีคนคอยต้อนรับอย่างดียิ่ง ซึ่งพรสวรรค์ของการเป็น "คนรัก" มีด้วยกันอยู่ 3 ทางคือ
1.ทางกาย 2.ทางวาจา 3.ทางใจ
1.ทางกาย...คือการควบคุมกิริยาอาการให้อยู่ในความสงบ ไม่เกะกะระรานใคร หากจะใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ก็ใช้ไปในทางที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เช่นการมีน้ำใจช่วยเหลือคนรักเป็นต้น
2.ทางวาจา...คือการสำรวมระวังคำพูด ไม่ใช้เสียดแทงจิตใจของใคร หากจะพูดก็พูดจาในเชิงสร้างสรรค์ โดยยึดหลักวาจาสุภาษิต คือ
1.พูดคำจริง
2.พูดด้วยถ้อยคำสุภาพ
3.พูดในสิ่งที่มีประโยชน์
4.พูดด้วยจิตที่เมตตา
5.พูดถูกกาละเทศะ
หากยึดหลัก 4 ข้อที่ว่านี้ ย่อมเป็น "ที่รัก" เสมอ
3.ทางใจ...คือการสำรวมระวังจิตใจ ทั้งความคิดและอารมณ์ ไม่ให้คิดร้ายกับใคร แม้เป็นส่วนที่ลึกและไม่มีใครมองเห็น แต่กระแสของความพอใจหรือไม่พอใจ ก็สามารถส่งมาประทะกันได้ทั้งสิ้น
3 ข้อนี้ เมื่ออยู่ในตัวของใคร ก็นับว่า "คนผู้นั้น" มีพรสวรรค์ด้านความรัก ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้าหากว่าใครพบว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ หรือไม่เคยมีพรสวรรค์ด้านนี้มาก่อนเลย...แต่อยากมี "คนรัก" ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับ "พรแสวง" คือเราสามารถที่จะแสวงหาความรักหรือคนรักได้ แต่มันต้องมีการฝึกฝน เพราะการเป็นคนรัก ก็เหมือนกับการเป็นนักกีฬา หรือการเป็นนักเขียนนี่แหละ ก็ต้องมีการฝึกฝน เมื่อฝึกฝนเข้าบ่อยๆ เดี๋ยวความชำนาญก็เกิดขึ้นมาเอง
พรแสวงสู่การเป็น "คนรัก"
พรแสวงคือการเดินทางไปหาสิ่งที่เราต้องการ แม้สิ่งนั้นสจะไม่ได้ติดตัวเรามาตั้งแต่ก่อนเกิด แต่เราก็เพียรสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อคุณอยากเป็น "คนรัก" เราก็ต้องฝึกตัวเราเองให้เป็นคนที่น่ารัก ในหัวข้อนี้ผมจะขอยึดหลัก พรหมวิหาร 4 ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
1.เมตตา 2.กรุณา 3.มุทิตา 4.อุเบกขา
4 ข้อนี้ เคยได้ยินแต่คนเขาพูดถึงว่า เป็นคุณธรรมของพ่อกับแม่ และคุณครู พึงมีไว้ใช้กับลูกหลานและเด็กนักเรียน แต่ในความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนสามารถนำมาใช้ได้ ไม่ผิดกฏหมายและไม่ผิดศีลธรรม
1.เมตตา...คือความรู้สึกรักและสงสาร เมื่อเห็นคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องเจอทุกข์อยู่แล้ว ในฐานะที่เราจะเป็นคนรัก เราจำเป็นต้องเข้าใจความจริงของชีวิต และต้องเห็นใจคนที่รักด้วย จึงจะเรียกว่า "เมตตา"
2.กรุณา...คือการแสดงความช่วยเหลือเกื้อกูล ให้มองเห็นเป็นรูปธรรม...ในยามทุกข์ยามยาก เมื่อตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ต่างคนก็ต่างหวังว่าจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คำว่า "คนรัก" นั้น เป็นของแท้แน่นอน ไม่ใช่ของปลอมที่ก็อบกันเกลื่อนตามท้องตลาด
3.มุทิตา...คือการแสดงความยินดีปรีดา เมื่อคนที่เรารักหรือคนรอบของมีความสุขและความสำเร็จ มุทิตาจิตจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า เรามีความเป็นมนุษย์มากน้อยเพียงใด หากขาดมุทิตาจิตแล้วก็ยากนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
4.อุเบกขา...คือการปล่อยวาง ในที่นี้คือการวางตัวให้เหมาะกับงาน ไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่เข้ามากระทบมากจนเกินไป แน่นอนว่าชีวิตของคนเราทุกข์คนก็ต้องเจอปัญหา วิ่งเข้ามาทักทายกันเกือบทุกวัน หากเราไม่มีสติ ไม่รู้จักปล่อยวาง อาจจะทำให้การใช้ชีวิตคู่อยู่นั้น ไม่สามารถจะเดินหน้าต่อไปได้
เห็นไหมล่ะว่า...พรสวรรค์สู่การเป็นคนรักนั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่ยากเย็นเลยสักนิด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์มากน้อยแค่ไหน เพราะความรักที่ปราศจากความเข้าใจ ย่อมเป็นความรักที่ไม่ยั่งยืน
อ่านกระทู้นี้แล้วสามารถให้กำลังใจ ตามติดและติดตามคนสารพัดขี้ได้ที่
บล็อก บทความ ข้อคิด ชีวิต ธรรมะ https://thestupidarticles.blogspot.com/
และ https://www.facebook.com/khonsarapadkee