ความหมายของคำว่า "รัก"
ความหมายของคำว่า "รัก"
รัก...คือธาตุละเอียดที่ช่วยชะโลม หล่อเลี้ยง กายใจให้อยู่เย็นเป็นสุข อันประกอบไปด้วยคุณลักษณะดังต่อไปนี้
1.ใส...คือโปร่งใส่ ไม่มีสิ่งปิดบังซ่อนเร้น ให้ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ หากเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่ซื่อสัตว์จริงใจ เชื่อถือได้ เป็นต้น
2.สะอาด...คือไม่สกปรก ไม่โสโครก ให้ความรู้สึกเย็นกายสบายใจ ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่รักตัวเอง รู้จักดูแลตัวเอง เป็นต้น
3.บริสุทธิ์...คือไม่มีมลทิน ไม่มีจุดด่างพร้อย ให้ความรู้สึกอิ่มเต็มและภาคภูมิใจ ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่ไม่มีประวัติเสียๆหายๆ เป็นต้น
4.ผุดผ่อง...คือไม่หมองคล้ำ ให้ความรู้สึกสดชื่น เย็นตาเย็นใจ ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่รู้จักยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
5.มั่นคง...คือไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน ให้ความรู้สึกมั่นใจ ้ ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นที่เชื่อถือได้ ไม่โลเล ไม่จับจด เป็นต้น
6.แข็งแรง...คือไม่อ่อนแอ ไม่ปวกเปียก ให้ความรู้สึกชื่นบานและมีพลัง ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่มีกำลังกายกำลังใจที่เข้มแข็ง สามารถต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคได้ดี เป็นต้น
7.ละเอียด...คือไม่หยาบกระด้าง ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล เมื่อสัมผัสเข้าใกล้ ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่รู้จักกาละเทศะ มีจรรยามารยาท น่าคบหา
8.ประณีต...คือไม่ขี้เกียจมักง่าย ให้ความรู้สึกพึงพอใจเมื่อพบเห็น ถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่รู้จักเอาใจใส่คน สัตว์และสิ่งของที่อยู่รอบตัว ไม่มักง่าย ไม่เห็นแก่ตัว เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า คุณลักษณะของความรักนั้น เป็นไปในแง่บวก เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับผู้ที่ได้ครอบครอง อันเนื่องจากธรรมชาติของคนเรานั้น เกิดมาพร้อมกับความทุกข์ คนจึงเสาะแสวงหาความรัก ไว้หล่อเลี้ยงกายใจให้เป็นสุข ซึ่งจะมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่คุณภาพของความรักที่ได้ครอบครอง
คุณประโยชน์ของความรัก
1.ให้ความสุข
2.ให้ความสำเร็จ
3.ให้กำลังใจ
4.ให้แรงบันดาลใจ
ประเภทของ "คนรัก"
เมื่อเราได้ศึกษาความหมายและรายละเอียดของคนกับความรักแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับการค้นหาความหมายของ "คนรัก"
ซึ่งผมขอแบ่งประเภทตามความชอบใจของตนดังนี้
1.คนที่มีความรัก...คนๆนี้อาจเป็นคนที่มีความรักติดอยู่ในใจมาตั้งแต่เกิด หรืออาจจะเพิ่งเริ่มสร้างสรรค์ความรักให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนก็เป็นไปได้ แต่ถึงยังไงก็นับเป็นคนที่มีความน่ารัก น่าคบหาอยู่ในตัว
2.คนที่ให้ความรัก...คือคนที่มีน้ำใจเผื่อแผ่ ความสุขความสำเร็จที่ตนเองกำลังมีอยู่ให้คนอื่น ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ความห่วงหาอาลัยเป็นต้น นับเป็นคนอีกหนึ่งประเภทที่สมควรได้รับความรักกลับคืนด้วยเช่นกัน
3.คนที่ถูกรัก...คือคนที่ได้รับคัดเลือกจากใครบางคน หรือคนส่วนใหญ่ ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับความรัก ดังนั้น คนๆนี้ จึงเป็นคนที่คุณงามความดีติดอยู่ในกายและใจ กลายเป็นคนที่น่ารักน่าเข้าใกล้ เป็นต้น
4.คนที่รับรัก...คือคนที่เห็นคุณค่าในความรักของคนอื่น จึงไม่ปฏิเสธน้ำใจอันที่งามของผู้ที่ส่งมอบความรักมาให้ ด้วยความที่รู้จักเคารพ ยกย่องและให้เกียรติความรักของผู้อื่นเช่นนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งคนที่ควรค่ากับคำว่า "รัก" ด้วยเช่นกัน
ทำไมถึงอยากมี "คนรัก"
มนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดกันมานับพบนับชาติไม่ถ้วน มีเป้าหมายเช่นเดียวกันหมด คือ
1.ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รัก
2.ได้ทำในสิ่งที่รัก
สองข้อนี้...เป็นแลนด์มาร์คที่อยู่ในใจของผู้คนมาตั้งแต่เกิด แต่เพราะความมืดบอดในจิตใจ จึงทำให้ใครหลายๆคน มองไม่เห็นความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง จำทำให้คิดผิด พูดผิดและทำผิด เป็นสาเหตุให้ตนเองต้องเดินทางออกจากเป้าหมายของชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว
ถ้าคนเรามีสติปัญญากันสักนิด...ก็จะรู้ว่าทุกสิ่งอย่างที่คนเราทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหนังสือ ทำงาน เก็บเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับรางวัลของชีวิต คือได้อยู่กับคนที่รักและได้ทำในสิ่งที่รักไปพร้อมๆกันด้วย ว่าง่ายๆก็คือ การเวียนว่ายตายเกิดของคนเรานั้น จำเป็นต้องมีความสุขและความสำเร็จ
หากเกิดมาบนโลกใบนี้...แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีสัตว์อื่นใดเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เลย ก็ไม่แน่ว่าคนๆนั้น อาจจะบรรลุธรรมได้เอง โดยไม่ต้องมีใครคอยสั่งคอยสอน เพราะความเบื่อหน่ายโลก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม "คน" จึงต้องการ "คนรัก" แต่เมื่อโลกใบนี้มีผู้คนมากมายให้เลือกเฟ้น และต่างก็ต้องการความรัก
การที่จะรักคนอื่นได้นั้น...ก็ต้องรักตัวเองให้เป็นด้วย
ทำไมต้องรัก "ตัวเอง"
เป็นคำถามที่น่าขำ...แต่ก็น่าคิด มีใครหลายคนพูดเสมอว่า "ถ้าไม่รักตัวเอง แล้วใครจะมารัก"
อันนี้จริง...ถ้าเราไม่รักตัวเองซึ่งเป็นเจ้าของชีวิต อันประกอบไปด้วยเลือดเนื้อ ลมหายใจ และจิตวิญญาณ ก็แสดงว่าตัวเรานั้น ไม่มีคุณค่าเพียงพอที่ใครจะมารัก แล้วใครจะมารัก?
ธรรมชาติของคนเรา...ไม่มีทางรู้จักใครได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ต่อให้เราวิพาษ์วิจารณ์คนอื่นให้เสียหายยับเยิน วันละร้อยครั้งพันครั้ง แต่เราก็ไม่ได้อยู่กับคนๆนั้นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตัวเราเองต่างหากล่ะ ที่เห็นความคิด คำพูดและการกระทำของตนเอง ตลอดทั้งวันทั้งคืน
การที่เราไม่รักตัวเอง...ตามหลักจิตวิทยาจึงบอกเราทางอ้อมว่า เรามองเห็นข้อเสียของตัวเองนานับประการไม่ถ้วน จึงไม่คู่ควรที่จะรับความรักจากใคร แต่ถ้าเป็นความใคร่ก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้น ต่อให้แสวงหา "คนรัก" มากเท่าไหร่ ก็มักจะเจอแต่ "คนใคร่" เข้ามาหลอกลวงตลอดชีวิต
รักตัวเอง...รักยังไง?
รักตัวเอง ก็คือการดูแลตัวเอง ซึ่งการดูแลตัวเองก็เหมือนกับการดูแลบ้านเรือน ห้องหับ ยานพาหนะที่เราเป็นเจ้าของ หากสกปรกก็ต้องหมั่นทำความสะอาด ส่วนไหนเสียก็ต้องซ่อม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของคนเราก็เหมือนกัน มันเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่า ที่เราจะต้องดูแลรักษาเอาไว้ให้ดี อันที่จริง...มันมีความสำคัญมากกว่าสิ่งของที่อยู่นอกตัวด้วยซ้ำ เมื่อเราเกิดมาแล้วนั้น ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น ดังนั้น... การดูแลตัวเองก็คือ ทำยังไง ถึงจะชะลอความแก่ ความเจ็บ และความตาย ให้ถ่อยห่างจากตัวเราให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้
เพื่ออะไร?
ก็เพื่อที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น และได้ทำในสิ่งที่รักมากยิ่งขึ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พึงทำการศึกษาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การกระทำที่ทำให้บ่งบอกว่า "รักตัวเอง"
1.ความรู้ความสามารถ...จะเรียกว่าศาสตร์กับศิลป์ หรือสติกับปัญญาก็ได้ มีไว้สร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง ทั้งด้านการงาน การเงิน และความรัก...หากเป็นผู้ที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ก็นับว่ายังไม่พร้อมที่จะดูแลใครเป็นต้น
2.ความรับผิดชอบ...ข้อนี้หมายถึงทั้งการดูแลตัวเองและผู้อื่น เพื่อความเจริญก้าวหน้าและความสงบราบรื่นในการใช้ "ชีวิตคู่"
1.ต้องรักความสะอาด
2.เป็นระเบียบเรียบร้อย
3.สุภาพนุ่มนวล
4.ตรงต่อเวลา
สี่ข้อนี้...เป็นสิ่งที่สำคัญมากกับคนที่จะมี "คนรัก" เพราะคงไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งสกปรก เละเทะ หยาบคาย และไม่รู้จักเวล่ำเวลา ต่อให้ต้องใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกัน ก็คงจะหาความสุขไม่ได้
การดูแลตัวเองจึงต้องเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว และตัวเราเองก่อน
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่
https://thestupidarticles.blogspot.com/
https://www.facebook.com/khonsarapadkee