เบื้องหลังของ เมฆาสัญจร หนังสืออ่านยากของเดวิด มิตเชล
“นี่คือ หนังสือที่อ่านยากสัส ๆ ในชีวิต”
.
เสียงบ่นจากบรรดาแฟน ๆ กลุ่มหนึ่งที่อ่านผลงานเรื่องเมฆาสัญจร หรือ Cloud Atlas ของเดวิด มิตเชล นักเขียนขาวอังกฤษคนนี้แล้วส่ายหัวด้วยความมึนงงกับการเล่าเรื่องหกเส้นเรื่อง หกช่วงเวลาในระยะเวลา 1000 ปีที่ผ่านตัวละครต่าง ๆ ซึ่งตัวหนังสือนั้นเรียกได้ว่า ไม่ชอบก็เกลียดกันไปเลย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า นี่คือ หนังสือที่ท้าทายความคิดของคนอ่านอย่างเต็มที่ชนิด ไม่มีใครกล้าทำแบบนั้น”
.
“ผมว่า การทดลองทำอะไรเป็นคนแรก มันทำให้เรามีโอกาสเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ซึ่งบางครั้งผมว่า เราน่าจะทดลองเล่าเรื่องแบบบ้าบอเกินจริงกันบ้าง อย่ามัวไปคิดว่าการทดลองจะทำให้ความผิดพลาด”
.
มิตเชลกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเล่าเรื่องในนิยายเรื่องนี้ที่พิศดาลเหลือเชื่อชนิดผู้อ่านรับไม่ไหว
.
Cloud Atlas เล่าเรื่องของตัวละครในช่วงหกเวลาในระยะ 1000 ปี ผ่านเรื่องราวของหนุ่มอเมริกันบนเรือเดินสมุทรในช่วงศตวรรษที่ 19 , การผจญภัยในยุโรปของหนุ่มอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 , บรรณาธิการชราที่หนีการไล่ล่าของมาเฟีย , เรื่องราวของสงครามนิวเคลียร์ของเหยี่ยวข่าว , การปลดปล่อยมนุษย์โคลนนิ่งโดยสาวเกาหลี และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลังยุคอารยธรรมล่มสลาย หกเรื่องราวที่เหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน กลับมีความเชื่อมโยงกันอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ตัวเรื่องจะเล่าแบบกระโดดไม่ลำดับขั้นกาลเวลาเลยก็ตาม
.
“ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดด้วยการสร้างให้แต่ล่ะเรื่องเป็นเอกเทศ และเล่าแบบกระโดดไม่มีประติประต่อ แต่ผู้เขียนก็เล่าโดยสร้างจุดร่วมด้วยจิตวิญญาณและปรัชญาของตัวละครโดยปล่อยให้ผู้อ่านจับมาร้อยเรียงด้วยตัวเอง เสมือนกับการจินตนาการตัวเองในหมู่เมฆ”
.
นักวิจารณ์หนังสือท่านหนึ่งกล่าวถึงงานของเดวิด มิตเชลที่เคยทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในเมืองฮิโรชิม่ามาก่อน ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เขาได้ซึบซับกลิ่นอายของเอเชียลงมาอย่างมาก ทั้งเรื่องความเชื่อด้านการเวียนวายตายเกิด ผลกรรม หรือ การพูดถึงปรัชญาทางเอเชียหลายอย่างที่ผสานลงไปในหนังสือของเขา
.
โดย Cloud Atlas เป็นงานลำดับที่ 3 ของเขาและเป็นงานเรื่องแรกที่ได้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์โดย 2 พี่น้องวาร์ชอร์สกี้แห่ง The Matrix
.
ความโดดเด่นในงานของเดวิด มิตเชลนั้นเป็นสิ่งที่บรรดานักวิจารณ์หนังสือสนใจ เพราะ เรื่องราวของเขานั้นกล่าวถึงหายนะและความมืดมิด เช่น สงคราม หรือ การสูญสิ้นซึ่งอารยธรรม หรือ การกดขี่เสรีภาพของมนุษย์โดยเฉพาะบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งหนังสือเรื่องนี้สะท้อนภาพนั้นอย่างชัดเจน
“นั่นคือ วิวัฒนการขั้นสูงสุดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์”
.
“ผมเคยได้ยินคำว่า มนุษย์คือความโง่เขลา เพราะพวกเราคือ สิ่งมีชีวิตที่ฆ่ากันเองมากที่สุดและมันทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ล่ะยุค แต่อย่างพึ่งคิดว่านักเขียนอย่างผมจะมานั่งเล่าเรื่องสันติภาพและความรักเพื่อเปลี่ยนโลกนะ แค่เขียนอะไรสักอย่างออกมาแล้วทำให้คำว่า เห็นแก่ตัว มันลดลงจากใจคนได้บ้าง มันก็พอแล้ว”
.
เดวิด มิตเชลกล่าว
.
แม้ว่าจะตัวหนังจะทำเงินได้ไม่มาก และตัวสองผู้กำกับก็ทำงานได้อย่างเต็มที่เพื่อถ่ายทอดงานออกมาเป็นภาพให้ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีอยู่ดี เพราะหลายคนบอกว่า เรื่องนี้ทำหนังยาก ตัวมิตเชลก็เห็นด้วย
.
“มันทำเป็นหนังยากน่ะนะ เพราะเส้นเรื่องมันเยอะ แต่ผู้กำกับก็ทำก็ทำดีที่สุด และผมค่อนข้างชอบหนังนะ”
.
สุดท้ายคำถามที่มิตเชลฝากทิ้งเอาไว้ก็คือ โลกใบนี้มันวุ่นวายเพราะ อะไรกันหน่อ ระหว่าง กาลเวลา หรือ ฝีมือของมนุษย์
ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/Mafia-Sweety-1559805247664681/