สะพานเหล็ก มีใครแก้ได้ดีกว่า คสช. ไหม
เห็นภาพสะพานเหล็กก่อนและหลังรื้อแล้ว หลายคนคงรู้สึกทึ่งในความสามารถของ คสช. จนต้องยกนิ้วให้ บอกไม่ว่าสมัยไหนก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ทหาร นี่จะถือเป็นผลงาน คสช. ได้ไหม ในไทยนี้ ยังมีใครที่ทำได้ดีไม่แพ้ หรืออาจจะดีกว่า คสช. หรือไม่
"สะพานเหล็ก" เป็นชื่อสะพานข้ามคลองโอ่งอ่างซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 2538 ต่อมามีการก่อสร้างเป็นตลาดคร่อมคลองนี้โดยถือว่าเป็นตลาดการซื้อขายวีดิโอเกมที่ใหญ่ที่สุด รวมทั้งของเล่น รถบังคับ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ BB Gun ฯลฯ ถือได้ว่ามีผู้เดินซื้อสินค้าเหล่านี้ที่ตลาดแห่งนี้มากกว่าเดินในห้างสรรพสินค้าทั่วไปมีราคาถูกกว่าตามห้างและร้านค้าทั่วไป และก่อนการรื้อถอนเมื่อปลายปี 2558 ก็มีร้านค้าถึง 500 แผง (bit.ly/29psUSL bit.ly/29xrQjp)
การรื้อตลาดสะพานเหล็กนั้นดูเป็นผลงานสำคัญของ คสช.ที่ใช้ "อำนาจปืน" ในการจัดการให้ผู้ค้าตลาดแห่งนี้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด คือหยุดการบุกรุกและใช้พื้นที่ๆ ก่อสร้างคร่อมคลองแห่งนี้เสีย บางคนถึงขนาดบอกว่า ถ้าไม่ใช่ คสช. ไม่มีวันทำการนี้สำเร็จ ในแง่หนึ่งก็ต้องชมเชย คสช. แต่ในอีกแง่หนึ่ง การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ "อำนาจปืน" แบบทหารก็ได้
ตัวอย่างที่ทำได้ทัดเทียม คสช. ก็คือการสั่งรื้อรีสอร์ตเขาใหญ่ของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (นายดำรงค์ พิเดช) เมื่อคืนวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ที่ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน โดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ทั่วประเทศราว 4,000 นาย ลงพื้นที่รื้อถอนรีสอร์ต จำนวน 9 แห่ง รวมพื้นที่ 1,857 ไร่ โดยระหว่างปฏิบัติการรื้อถอนก็มีกลุ่มคนมาขัดขวาง แต่ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องใช้ "อำนาจปืน" จากรัฐประหาร (bit.ly/29xsLk7)
เสียดายที่ปฏิบัติการ "ขอคืนผืนป่า" นี้เป็นเพียง "ไฟไหม้ฟาง" หลังจากท่านเกษียณไป ก็ซาลงไป ผลงานของ คสช. ก็อาจคล้ายกัน ตอนนี้ตึกแถว 2 ข้างคลองโอ่งอ่างที่สะพานเหล็ก ก็เริ่มดัดแปลงหลังบ้านให้เป็น "หน้าร้าน" แล้ว อีกหน่อยก็คงกลับมาคล้ายของเดิมอีก เราควรทำการให้ยั่งยืนด้วยการจัดหาที่ค้าขายใหม่ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ค้า ต่อผู้บริโภค ต่อผู้ให้เช่าพื้นที่ ต่อชุมชนโดยรอบและสังคมโดยรวม ไม่ใช่ไล่ทิ้งไปแล้วจบ หรือไพล่ไปจัดหาที่ค้าขายที่เงียบเหงาคล้าย "ป่าช้า" ยิ่งกว่านั้นรัฐยังควรช่วยรณรงค์ส่งเสริมให้ลูกค้าตลาดเดิมไปจับจ่ายสู่ตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย
สำหรับตัวอย่างที่มีคนทำได้ดีกว่า คสช. ก็คือ "ทักษิณ" บางคนอาจบอกว่า "ทักษิณ" ก็ไม่กล้ารื้อตลาดสะพานเหล็ก หรือตลาดอื่น ๆ แต่ "ทักษิณ" คงคิดเก็บเรื่องเล็กๆ นี้ไว้ก่อน เพราะเขากลับกล้ารื้อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือ
- การปราบปรามยาบ้า ซึ่งตลอดยุคที่ "ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่ายาบ้าเงียบหายไปเลยโดยไร้วี่แววว่าจะหวนกลับมาอีก มาจนกระทั่งถูกรัฐประหารโดย คมช. ยาบ้าจึงทะยอยกลับมาใหม่
- "ทักษิณ" ยังล้างบางหวยใต้ดินที่พวกเจ้ามือกินรวบหากินเอาเปรียบประชาชน ด้วยการให้มีหวยบนดิน สร้างงานให้กับประชาชนหลายแสนคน รวมทั้งแบ่งเงินรางวัลให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น (ไหนๆ การพนันก็มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลแล้ว ก็เลยทำให้ถูกกฎหมายเสียเลย)
- ทักษิณยังสั่งเก็บอาวุธปืนจากทุกคนโดยเฉพาะพวกผู้มีอิทธิพลต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะประชาชนทั่วไปมักไม่มีปืน ฯลฯ
เมื่อปฏิบัติการหลักๆ เหล่านี้ทำสำเร็จ ค่อยมาขอคืนพื้นที่คลอง พื้นที่บุกรุกโดยชาวบ้านทั่วไป ก็ยังไม่สาย ใช่หรือไม่ และทั้งกรณีนายดำรงค์ และ "ทักษิณ" ก็เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัด ไม่จำเป็นต้องใช้ "อำนาจปืน" ของทหารจากรัฐประหารแต่อย่างใด โดยนัยนี้การขอคืนพื้นที่ "สะพานเหล็ก" นี้จึงเป็นแค่เกม "โชว์พาว" ของผู้มีอำนาจว่าตนสามารถจัดการ (เรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้) ได้ แต่เรื่องใหญ่ๆ เช่น การปราบปรามยาบ้า การแก้ปัญหาชายแดนใต้ ปัญหาหวยใต้ดิน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะประสบความสำเร็จ ซ้ำร้ายยังอาจมีการปรองดองกับ "ยาบ้า" อีกต่างหาก
กรณีตลาดสะพานเหล็กที่มีร้านขายของ 500 แผง สมมติค่าเช่าแผงหรือล็อกละ 15,000 บาทต่อเดือน ก็เป็นเงินถึงเดือนละ 7.5 ล้านบาท หรือปีละ 90 ล้าน ถ้าขายต่อได้อีก 20 ปี ณ อัตราดอกเบี้ย 8% และค่าเช่าสุทธิเพิ่มขึ้น 1% ก็จะทอนมาเป็นเงินถึง 954 ล้านบาท การทำให้ธุรกิจ SMEs นี้พังทะลายหรือกระจัดกระจายกันไป เท่ากับเป็นการทำลายเศรษฐกิจ ส่งผลเสียต่อผู้บริโภค รัฐจึงควรจัดการหาที่ค้าขายทดแทนให้เหมาะสมเช่นกัน
แต่ยังไงก็ตามก็ต้องขออนุโมทนาที่ คสช. ทำสำเร็จในกรณี "สะพานเหล็ก" และควรทำให้ดีกว่านี้ด้วยการจัดหาที่ค้าใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบยาบ้า ปราบหวยใต้ดิน ปราบปราม "โจร (ใต้) กระจอก" เป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------------------