ชาวยิว กับเยอรมัน คนส่วนใหญ่คิดว่า เยอรมันอิจฉาคนยิว ที่ค้าขายเก่งกว่า ฉลาดกว่า...
ชาวยิว กับเยอรมัน
คนส่วนใหญ่คิดว่า เยอรมันอิจฉาคนยิว ที่ค้าขายเก่งกว่า ฉลาดกว่า...
ถ้าเก่งเฉยๆ ก็คงแค่ถูกอิจฉา อย่างมากก็แค่ถูกข้างปาขี้ หรือถูกขับไล่
แต่จะให้ถึงขั้นฆ่าแกงกันเป็นไปได้ยาก
ถ้าชาวยิวไม่มีส่วนบกพร่องจริงๆ ฮิตเลอร์ก็ไม่อาจยุให้คนเยอรมันฆ่ายิวไม่ขึ้นได้ ไม่มีฟิลลิงพอ โมติเวทก็ไม่ขึ้นแค่มันเก่ง
ชาวยิวมีความบกพร่องอะไรจึงถูกฆ่ากันแน่ ?
มีเรื่องเล่ากันว่า เหตุที่ทำไมถึงเกลียดยิวกันยิ่งนัก
แต่ก่อนชาวยิวมีธรรมเนียมการทำธุรกิจ แบบที่สมัยนี้หลายประเทศถือว่าผิดกฎหมาย ที่มาน่าจะมาจากทางฝ่ายเยอรมัน
ชาวยิวทำธุรกิจอย่างไรกันแน่ ?
สมมติ ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เป็นลูกหลานของกิจการค้าเพชรพลอยที่มั่งคั่ง
กิจการเพชรพลอยร่ำรวย และอิ่มตัวแล้ว ต้องหาทางลงทุนในกิจการอย่างอื่น
กลุ่มนายทุนชาวยิวจะมาประชุมกัน สมมติว่าตกลงจะลงทุนในธุรกิจรองเท้า
ชาวยิวจะให้ทุนลูกหลาน คนรุ่นใหม่ ไปลงทุนทำโรงงานรองเท้า
ไม่ทำแค่โรงเดียว แต่จะทำหลายโรงงาน หลายยี่ห้อ พร้อมๆกัน
ตอนแรกจะยอมขาดทุน โดยอาศัยเงินทุนจากกิจการเพชรพลอยหนุนหลัง
เพื่อกดดันให้โรงงานรองเท้าของคนเยอรมันเลิกกิจการ
เมื่อโรงงานรองเท้าอื่นเริ่มประกาศขายกิจการ ยิวก็จะเข้าไปซื้อกิจการเพิ่ม
พอยิวมีส่วนแบ่งรวมในตลาดมากพอ ก็จะกดดันร้านขายรองเท้าอีกทอดนึง
โดยสร้างเงื่อนไขว่า ต้องซื้อรองเท้าจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น!!!
ถ้าพบว่าร้านขายรองเท้าแห่งใด ซื้อรองเท้าจากโรงงานของคนเยอรมัน
โรงงานรองเท้าทั้งหมดของยิว จะไม่ยอมขายรองเท้าให้ ด้วยข้ออ้างต่างๆ เช่น ผลิตไม่ทัน เอาไงหละคะ
เมื่อยิวบีบให้ร้านขายรองเท้าต้องซื้อรองเท้าจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น
โรงงานรองเท้าของคนเยอรมันที่เหลือ ก็เจ๊งหมด
แล้วยิวก็เข้าไปกดราคาบังคับซื้อเอาถูกๆ คล้ายๆ ในไทยบ้าง แต่ยังไม่อลังการเท่า
พอยิวได้ครอบครองโรงงานรองเท้าทั้งหมด ก็เริ่มตั้งร้านขายรองเท้าของตนเอง
ส่วนคนงานเย็บรองเท้าก็เริ่มถูกกดค่าแรง ไม่มีทางย้ายที่ทำงาน เพราะโรงงานทั้งหมดเป็นของยิว
โรงงานยิว จะขายรองเท้าให้ร้านของชาวยิวในราคาถูกพิเศษ แบบไม่เอากำไร
ทำให้ร้านรองเท้าของชาวยิวสามารถขายปลีกรองเท้าในราคาถูกกว่าร้านของคนเยอรมัน
ร้านขายรองเท้าของเยอรมันก็ค่อยๆทะยอยปิดกิจการลง ยิวก็เข้าไปกดราคาซื้อต่อกิจการอีกที
ในที่สุดยิวก็ครอบครองร้านขายปลีกรองเท้าได้ทั้งหมด
เมื่อยิวครอบครองธุรกิจรองเท้าได้ครบวงจรทั้งหมดเสร็จเรียีบร้อยแล้ว
ก็ได้เวลาที่ยิวจะขึ้นราคารองเท้ากันหละ ฟันกำไรชดเชยกับที่ยอมขาดทุนในตอนแรกไงหละคะ คุ้นๆ มั๊ย
อุตสาหกรรมทำรองเท้า ของ คนเยอรมันเจ๊ง
ธุรกิจร้านค้ารองเท้า ของ คนเยอรมันเจ๊ง
คนงานที่มีอาชีพเย็บรองเท้า ถูกกดค่าแรง
ประชาชนเยอรมันต้อง ซื้อรองเท้าแพง
คนเยอรมันจะรู้สึกอย่างไรกันคะ? (เป็นคนไทยจะไม่รู้สึกอะไรจะด่ารัฐบาลแทน)
ผ่านไปหลายปี บรรดาลูกหลานชาวยิวในธุรกิจรองเท้าก็เริ่มเติบโต แต่ธุรกิจรองเท้าอิ่มตัวแล้ว
พวกยิวก็จะประชุมกัน ว่าจะยึดครองการค้าชนิดใดในอันดับต่อไป?!?
บางที ความโลภ และความไร้ยุติธรรม ของชาวยิวนั่นเอง ที่ฆ่าชาวยิว (กฎแห่งกรรม ในเตารอสก็มีเขียนไว้ว่า ยิวจะเจอะอะไรประมาณนี้หละค่ะ เพราะความโลภ และความชั่วในสายเลือดประมาณนั้น)
การยึดครองธุรกิจแบบนี้ได้ผลยิ่ง
เหมือนกับว่าเช้าวันหนึ่ง คนเยอรมันก็พบว่าร้านขายรองเท้าทุกร้านขึ้นราคาหมด
เมื่อถามต่อๆกันไป ก็พบว่ายิวยึดครองร้านค้าปลีกรองเท้าไปหมดแล้ว
หลักอุปสงค์อุปทาน หลักการตลาดทุกอย่าง ในเวลานั้นเป็นอันใช้ไม่ได้หมด
การแทรกตัวเข้าไปในธุรกิจที่ถูกยึดครองจากขบวนการยิวนิยมนั้นทำได้ยาก
คนเยอรมันไม่สามารถตั้งร้านค้าปลีกรองเท้าเพิ่มขึ้นได้
เพราะไม่มีแหล่งโรงงานที่จะขายรองเท้าให้ในราคาที่เป็นธรรมอีกต่อไป
พร้อมกับไม่มีใครสามารถตั้งโรงงานรองเท้าขึ้นมาแข่งได้ และไม่มีร้านค้าปลีกที่จะรับซื้อรองเท้าไปขายอีกแล้ว อาเมนค่ะ
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เศรษฐกิจเยอรมันทรุดไปทั่วอาณาจักร
เปิดโอกาสให้ยิวเข้ายึดครองธุรกิจไปหลายประเภท
การยึดครองธุรกิจโดยกลุ่มนายทุนยิว มีผลต่อการจ้างงานด้วย
ลัทธิยิวนิยมทำให้ คนยิว มีโอกาสได้ตำแหน่งงานที่ดี ในธุรกิจที่มีคนยิวเป็นเจ้าของ
คนยิวแม้ไม่ใช่ครอบครัวนายทุน ก็พลอยมีฐานะการเงินที่ดี ในสังคมไปตามๆกัน
ส่วนคนเยอรมันก็ต้องเป็นลูกจ้างกรรมกรในโรงงานของยิว แถมถูกกดค่าแรง
การยึดครองธุรกิจของยิว ยังนำมาใช้สร้างองค์ประกอบของชนชั้นวรรณะ
รองเท้าชั้นดี ที่ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ จะไม่ถูกนำขึ้นชั้นขาย จะเก็บไว้ขายให้ชาวยิวเท่านั้น
เรื่องรองเท้าชั้นดีมีไว้เพื่อชาวยิวโดยเฉพาะ รู้สึกว่าจะบาดใจคนเยอรมันเอามากๆ
เพราะเมื่อเกิดจลาจลทำร้ายชาวยิวตามท้องถนนในเมืองต่างๆ
คนยิวนอกจากถูกทุบตีทำร้ายแล้ว จะถูกถอดแย่งเอารองเท้าไปด้วย
ชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อ จะถูกบังคับให้เดินเท้าเปล่าไปตามถนน ได้เวลาแก้แค้น
ตามปกติการจะลุกขึ้นมาฆ่าแกงกัน ไม่ใช่เรื่องที่ทำง่ายๆ กันหรอกนะ
ต้องเก็บกดบ่มเพาะความแค้นกันมานานพอควรเป็นหลาย 10ปี
เรื่องชนชั้นคนจนคนรวย ยังเป็นเรื่องหนึ่งที่ที่พอทำให้คนลุกขึ้นมาฆ่ากันได้
ปัญหาชนชั้นในเยอรมันยิ่งหนักหนา เมื่อชนชั้นคนรวย เป็นกลุ่มชนต่างชาติ
และรวยขึ้นมาด้วยวิธีการ ที่สมัยนี้ บางประเทศถือว่าผิดกฎหมายการค้า
เชื่อหรือไม่นักวิทยาศาสตร์นาซี 90 % เป็นยิว?!?
น่าเหลือเชื่อนักวิทยาศาสตร์นาซี ในองค์กรของ ฮิตเลอร์ จะเป็นยิวทั้งที่ฮิตเลอร์เกลียดยิวจะตาย
แต่ 90 % ของนักวิทยาศาสตร์นาซีเป็นยิว
คำโบราณที่ว่า "ถ้าไม่มียิวก็ไม่มี อาณาจักรกรีก โรมัน สเปน เปอร์เซียที่รุ่งเรืองได้ และยุโรปคงหลังเขาดีๆนี้เอง ถ้าไม่มีชาวยิว พ่อทูลหัว กลุ่มนี้ แน่นอน"
ชาวยิวมีเคล็ดลับในการบริหารสมองหลักใหญ่คือ ทำสมาธิ โยคะ มโนภาพ สะกดจิต สวดมนต์การแพทย์ธรรมชาติ เอ็นโดรฟิลล์ และวัฒนธรรมการกินของชาวยิวเขาก็จะกินแต่ ปลาเนื้อมัน ขนมปังโฮลวีต เนื้อสันในแกะ วัว น้ำผึ้งล้านเกสร และที่เป็นวัฒนธรรมมากที่ของชาวยิวเลย คือ น้ำผึ้ง ปลา ขนมปังโฮลวีต
แต่นี้ไม่ใช้ประเด็น มีข่าวนี้ออกมานานแล้วว่า นักวิทยาศาสตร์นาซี ได้มีโครงการสร้างสิ่งที่รู้จักในนามจานผี หรือ ufo และโครงการอื่นที่สร้างสรรค์นวัตกรรมสรรพสิ่งที่แสนจะมหัศจรรย์และ พิสดาร อีกมากมาย
เรื่องนี้เริ่มเมื่อปี คศ 1942 ฮิตเลอร์ต้องการที่จะชนะสงคราม และสร้างโลกในแบบอนาคต หรือที่เรารู้จัก ยุค star war ถ้าใครเคยดู
แต่โครงการของฮิตเลอร์หลายอย่างแม้ แต่มีข่าวลือที่ว่า วงแหวนสร้างอนุภาพจักรวาลที่ล้อมประเทศ สวิตเซอร์แลนด์นั้น ก็มาจากโครงการวิจัยสร้างสรรค์นวัตกรรมสรรพสิ่งที่แสนจะมหัศจรรย์และพิสดาร ของฮิตเลอร์
แม้ฮิตเลอร์นี้ นอกจากรักความยิ่งใหญ่แล้ว ยังรักวิทยาศาสตร์ และการคิดสร้างสรรค์
แต่ต้องพังทลาย เพราะพันธิมตร และตัวเอง 1 ในข่าวรือล่าสุด คศ 1942 คือ ที่ พันธิมตรเกรงมากที่สุดนั้นคือ ufo
ฮิตเลอร์กำลังจะสร้าง สิ่งนี้เพื่อชนะสงคราม และโครงการสร้าง"ทหารอมนุษย์" ที่ลือกันว่า สูง 200 เซนติเมตร และโครงการ"มนุษย์อริยะชน" ที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถทางด้าน
1 iq - สติปัญญา
2 eq - ควบคุมอารมรณ์
3 mq - ศีลธรรม
4 aq - ปราศจากอุปสรรค
5 pq - การเล่น
6 cq - การคิดสร้างสรรค์
7.sq - รักชาติ
8.esp - พลังสมาธิจิต ซึ้ง q นี้สำคัญมากเพราะให้กำเนิด และเสริมสร้าง cq - การคิดสร้างสรรค์เพื่อ สร้าง q ต่างๆ และ เอ็นโดรฟิลล์ ซึ้งฮิตเลอร์ให้ความสำคัญมากๆ
สำหรับ มนุษย์อริยะชนแม้จะได้รับความพิเศษใดทั้งชายหญิง แต่ในสายตา ฮิตเลอร์มองพวกนี้ เปรียบดัง พราหมณ์มุนี แพทย์ ที่จะต้องรับใช้ซื่อสัตย์ สร้างสรรค์ เป็นโสเภณี และมอบความอุดมสมบูรณ์รุ่งเรือง ให้กับ กลุ่มเยอรมันชนบริสุทธ์ ที่ฮิตเลอร์ยกย่องว่าเป็นวรรณะ กษัตริย์ โดยที่พวก กลุ่มเยอรมันชนบริสุทธ์ มีหน้าที่เลี้ยงดูให้อยู่ดีกินดีให้กับ มนุษย์อริยะชนเท่านั้น
สำเร็จแต่โดนพันธมิตรยึดไปเสียก่อน
โครงการที่ 2 อันนี้เกี่ยวกับ ufo หลังจากฮิตเลอร์สร้างกลุ่ม มนุษย์อริยะชน แล้วเขาต้องการให้พวกนี้ และนักวิทยาศาสตร์นาซี(ยิว) ของเขาติดต่อกับมนุษย์ ต่างดาวที่มีกลุ่ม มนุษย์อริยะชน และนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมสรรพสิ่ง ที่แสนจะมหัศจรรย์พิสดารไฮเทค เพื่อมาเป็นพันธมิตรในการทำสงครามหรือ มนุษย์อริยะชนนักวิทยาศาสตร์นาซี(ยิว) เองนั้นแหละ
เขาจะทำ แต่โครงการนี้ก็เหมือนกับโครงการแรก พันธมิตรไปสาระแนนยึดจนได้อีกเช่นกัน
โครงการ ที่ 3 โครงการ อมนุษย์ น่ากลัวมากๆ เพราะพวกมันสูง 200 เซนติเมตร อาวุธอะไรก็ทำอะไรมันไม่ได้ นอกจากระเบิด หรือ พลังงานสักอย่างเท่านั้น ยิงให้ตายก็ไม่ตาย แถมโดนตัวมันก็โดนทำให้ไหม้เกรียม ใส่ชุดเกราะเหล็กกล้า
ถ้าไม่ใช้ระเบิดก็เปลืองกระสุนเปล่าๆ คล้ายเกมอะไรนะ
แต่อนิจาสร้างได้คุมไม่ได้ มีข่าวลือว่า ทหารนาซีที่ไปอยู่ที่นั้นตายเกี่ยงครับทั้ง 10000 แม้แต่ทหารดำแต่ นักวิทยาศาสตร์เสือกรอด (Unix Lose!!)
นี้เป็นแค่โครงการเด่นๆ ที่ยกมาส่วนหนึ่งแค่นั้นที่จริงยังมีอีกมหาศาลไม่ีเป้ฯจอมโปรเจคเท่าฮิตเลอร์อีกแล้วมัง
ถ้าใครจำ นิโคลาส เทสลาห์ได้ หรือ วิลเลี่ยม แฮมไรท์ ได้แน่นอนสิ่งประดิษฐ์ ของเขาก็อยู่ในโครงการวิจัย และสร้างสรรค์ของฮิตเลอร์ด้วยเช่นกัน
เขามองว่าชาวอาหรับ "เป็นเชื้อชาติต่ำกว่า" เขาเชื่อว่า ชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติสูงส่งกว่า ฮิตเลอร์ยกย่องศาสนาชินโต และวัฒนธรรมญี่ปุ่น
แต่ฮิตเลอร์นั้นเน้นการปฏิบัติมากกว่า เขาทุกข์ทรมานจากอาการโรคต่างๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน รอยโรคที่ผิวหนัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคพาร์กินสัน ซิฟิลิส และมีเสียงในหู
อีกด้านหนึ่ง เขาเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ เพราะกลัวโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต เขาเป็นผู้นำต้านการทดลองในสัตว์ และเลือกทานอาหารอย่างลึกซึ้ง คนสนิทสั่งให้สร้างเรือนกระจกใกล้กับที่พักผู้นำ เพื่อให้ฮิตเลอร์มีผลไม้และผักเพียงพออย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม เขาไม่ดื่มเหล้า และไม่สูบบุหรี่ เขาเป็นตัวตั้งตัวตีการรณรงค์งดสูบบุหรี่อย่างเข้มแข็งทั่วประเทศเยอรมนี
เขาเริ่มใช้แอมเฟตามีน (ยาบ้า) เป็นครั้งคราวตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และเริ่มติดยาใน ค.ศ. 1942 ทำให้มีการตัดสินใจที่ไม่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไม่อนุญาตการร่นถอยทางทหาร เขาได้รับการสั่งจ่ายยาถึง 90 ชนิดที่แตกต่างกันระหว่างสงคราม และกินยาหลายเม็ดต่อวัน เพราะปัญหากระเพาะอาหารเรื้อรังและอาการป่วยอื่น ๆ
เขาทุกข์ทรมานจากแก้วหูทะลุ อันเป็นผลของแรงระเบิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม ใน ค.ศ. 1944 และถูกถอนเสี้ยนไม้สองร้อยชิ้น ออกจากขาของเขา มือฮิตเลอร์สั่น และเดินย่องแย่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนสงคราม และเลวร้ายลงเมื่อใกล้บั้นปลายชีวิต เขารักษาโรคพาร์กินสันใน ค.ศ. 1945
ฮิตเลอร์เคยมีแผนการใหญ่ ตั้งแต่ก่อนเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในการทำลายอิทธิพลของศาสนจักรคริสต์ภายในจักรวรรดิไรช์ โดยการทำลายล้างศาสนจักร เป็นเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นการไม่เหมาะสมที่จะแสดงท่าทีสุดโต่งนี้อย่างเปิดเผย เจตนาของเขา คือ รอกระทั่งสงครามยุติแล้วจึงค่อยทำลายอิทธิพลของศาสนาคริสต์
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1136110439784989&set=pcb.1136111816451518&type=3&theater