นักโทษ คดี ยาบ้ารายแรก ที่ถูกประหารชีวิต
น.ช.สมคิด นามแก้ว อายุ 35 ปี หมายเลขประจำตัว 489/41 คดีมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง(ยาบ้า) ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษมาตรา 66 หมายเลขคดีดำที่ 7858/40 หมายเลขคดีแดงที่ 4112/41 ศาลอาญากรุงเทพใต้ เหตุเกิดบนทางหลวงหมายเลข 103 อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่
ยาเสพติดทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ผงขาว เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา และอื่นๆอีกหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ยาบ้า” กำลังเป็นภัยร้ายแรงอยู่ในสังคมเกือบทุกระดับชั้นในขณะนี้ และยังเป็นต้นเหตุของอาชญากรรมประเภทต่างๆอีกด้วย โทษภัยของยาเสพติดที่มีต่อผู้เสพนั้น มีมากมายหลายอย่างเช่น สมองเสื่อม คลุ้มคลั่ง ประสาทหลอน บางรายเสพเกินขนาดอาจทำให้ถึงตายได้ แต่ก็ยังมีผู้หลงผิดเสพยาเสพติดเหล่านั้นอยู่อีก
ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้เสพหรือผู้ค้าหากถูกจับกุมได้ จะถูกดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดไม่มียกเว้น ซึ่งโทษของคดียาเสพติดนั้น มีตั้งแต่ ปรับ กักขัง จำคุก และสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต สำหรับผู้ค้ายาเสพติดให้โทษ เมื่อเข้ามาอยู่ในเรือนจำแล้ว โอกาสที่จะได้กลับออกไปสู่โลกภายนอกมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วจะตายอยู่ในคุก เนื่องจากเป็นคดีที่มีโอกาสได้รับพระราชทานอภัยโทษน้อยมาก หรือไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษเลยแม้แต่น้อย ดังเช่นนักโทษประหารคดียาบ้ารายนี้
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2540 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบทราบว่า จะมีการลำเลียงยาบ้าจำนวนมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงรายเข้าสู่กรุงเทพฯทางรถยนต์ โดยใช้เส้นทางขนส่งผ่านทางหลวงหมายเลข 103 จึงมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ทำการตั้งด่านสกัดจับกุมในเส้นทางดังกล่าว
เวลา 21.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจากกองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา จำนวน 11 นาย ตั้งด่านสกัดที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ซึ่งตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 103 หลักกิโลเมตรที่ 0-1 ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ได้มีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีน้ำตาล ทะเบียน 3ว 8505 กทม. รูปพรรณตรงตามที่สายได้รายงานมา วิ่งเข้ามาที่จุดสกัดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกให้หยุดเพื่อตรวจค้น
ภายในรถคันดังกล่าวทราบชื่อผู้ขับขี่ในภายหลังว่า นายสมคิด นามแก้ว อายุ 31 ปี(อายุขณะถูกจับกุม) พักอาศัยอยู่ที่ หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขับขี่มาตามลำพังคนเดียว ก่อนการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงความบริสุทธิ์ให้นายสมคิดดู จนเป็นที่พอใจแล้วจึงลงมือค้น โดยขณะตรวจค้นนายสมคิดยืนดูอยู่ด้วยตลอดเวลา และยังบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ภายในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย โดยเฉพาะยาบ้านั้นตนเองเกลียดที่สุด
ภายหลังการตรวจค้นอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่ตำรวจพบยาบ้าบรรจุอยู่ในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ที่ประตูตอนหลังทั้งซ้ายและขวา และยังบรรจุใต้เบาะนั่งด้านหลังอีกด้วย รวมจำนวน 203ห่อๆละ 2,000 เม็ด เป็นจำนวนทั้งสิ้น 406,000 เม็ด ยาบ้าดังกล่าวเป็นชนิดเม็ดสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษร wy มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง เงินสด 25,100บาท จึงทำการจับกุมตัวนายสมคิด พร้อมกับแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง
หลังถูกจับกุมตัว นายสมคิดได้พยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าว เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท เพื่อแรกกับการปล่อยตัวและของกลาง โดยจะจ่ายให้หลังจากได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าวไม่สนใจ พร้อมกับแจ้งข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงานอีกกระทงหนึ่งด้วย และนำตัวนายสมคิดพร้อมของกลางทั้งหมด ส่งกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ที่กรุงเทพฯ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการตรวจสอบประวัติทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบทราบและติดตามนายสมคิดมานานแล้ว แต่ยังไม่สามารถจับกุมตัวได้ เนื่องจากนายสมคิดไหวตัวทันก่อนทุกครั้ง และนายสมคิดยังมีพี่ชาย ถูกศาลจังหวัดนครราชสีมาตัดสินลงโทษจำคุก 10 ปี ในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองด้วยเช่นกัน
จากการสอบสวนนายสมคิด ได้ให้การรับสารภาพว่ารับจ้างขนยาบ้าดังกล่าว เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท จากพ่อค้ายาเสพติด เพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ในอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยให้เหตุผลว่า ที่ทำไปเพราะต้องการหาเงิน เป็นค่ารักษาพยาบาลพี่สาวที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากตนมีฐานะยากจน แต่ต้องใช้เงินในการรักษาเป็นจำนวนมาก
ผลงานการจับกุมยาบ้าจำนวนมากในครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ได้ชมเชยการปฏิบัติงานครั้งนี้ พร้อมกับมอบเงินส่วนตัวคนละ50,000 บาท แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานต่อไป
หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขออำนาจศาล ฝากขังนายสมคิดไว้ที่ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษ เขตบางเขน จังหวัดกรุงเทพฯ และรวบรวมสำนวนการสอบสวน พร้อมกับหลักฐานต่างๆส่งมอบให้อัยการ เพื่อทำการฟ้องร้องดำเนินคดีนายสมคิด ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้
ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น เห็นว่าถึงแม้นายสมคิดจะรับสารภาพก็ตาม ไม่ใช่เหตุอันควรปราณีแต่เป็นการจำนนด้วยหลักฐาน มีพฤติกรรมเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างร้ายแรง สมควรลงโทษสถานหนักที่สุด คือประหารชีวิต
หลังการตัดสินของศาลชั้นต้น ข.ช.สมคิดได้ถูกส่งตัวมาคุมขัง ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เรือนจำกลางบางขวาง ข.ช.สมคิดได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เพื่อขอลดหย่อนโทษที่ได้รับ โดยให้เหตุผลว่าตนได้ให้การรับสารภาพข้อหาตั้งแต่ต้น และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ประกอบกับตนมีพี่สาวเป็นโรคสมองฝ่อต้องใช้เงินในการรักษาจำนวนมาก ทำให้เกิดการหลงผิด จึงรับจ้างขนยาบ้าดังกล่าว
ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้ออ้างของข.ช.สมคิดเป็นเรื่องส่วนตัว เมื่อเปรียบเทียบกับความมั่นคงของประเทศชาติซึ่งเป็นเรื่องส่วนรวม เทียบกันไม่ได้ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ข.ช.สมคิดได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอลดหย่อนโทษ โดยใช้เหตุผลเดิมอีก ผลการพิจารณาของศาลฎีกา ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
หลังจากเป็นนักโทษเด็ดขาดรอการประหารชีวิตแล้ว น.ช.สมคิดได้ยื่นหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษ เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2543 โดยผ่านขั้นตอนจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักราชเลขาธิการ
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ.2544 เวลา 10.30 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งอย่างเป็นความลับว่า ในวันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษคดียาบ้า 1 ราย ซึ่งจะเป็นการประหารนักโทษคดียาบ้ารายแรกของประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้เอาจริงกับการปราบปรามยาบ้า ที่แพร่หลายระบาดอยู่ทั่วไปในขนาดนี้ ข้าพเจ้าจึงไปจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องใช้ในการประหารชีวิต ในส่วนรับผิดชอบของข้าพเจ้า พร้อมกับทำการสวดมนต์ไหว้พระ เสร็จแล้วรอเวลาที่จะเบิกตัวนักโทษมาทำการประหาร
เวลา 15.40 น. ข้าพเจ้าได้รับทราบชื่อนักโทษที่จะถูกประหารในวันนี้คือ น.ช.สมคิด นามแก้ว โดยข้าพเจ้าเข้าไปเบิกตัวที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเวลา 16.10 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังได้ไขกุญแจเปิดตึก เสียงพูดคุยที่ดังอยู่ภายในได้เงียบลงทันที ข้าพเจ้าเดินเข้าไปภายใน นักโทษประหารที่อยู่ตามห้องต่างๆ พากันหลบสายตาของข้าพเจ้า แต่ก็ยังมีคนถามข้าพเจ้าขึ้นมาจนได้“กี่คนครับหัวหน้า คดีอะไร” ข้าพเจ้าตอบกลับไป “คนเดียว คดียาบ้า” นักโทษประหารซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษคดียาบ้า ต่างพากันสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที และมีเสียงพูดขึ้นมาดังๆว่า “เฮ้ยพวกเรา คดียาบ้าเขาเอาจริงแล้วโว้ย วันนี้ไม่รู้ใครจะประเดิมเป็นรายแรก กูหนอกู ไม่น่าคิดผิดไปขนยาบ้ามาเลย สงสัยคราวหน้าคงไม่พ้นตัวกูแน่เว้ย มาคิดได้ก็สายซะแล้ว ไม่คุ้มเลยจริงๆ เงินก็ไม่ได้ใช้ ยังจะต้องมาตายในคุกอีก”
นักโทษประหารเด็ดขาดที่ต้องโทษคดียาบ้า ต่างหน้าซีดเหงื่อตกไปตามๆกัน รอฟังว่าใครจะเป็นผู้ที่ถูกเรียกชื่อ เมื่อข้าพเจ้าเดินไปหยุดยืนที่หน้าห้องคุมขังน.ช.สมคิด นักโทษประหารที่อยู่ภายในโดยเฉพาะคดียาบ้า ต่างสั่นไปตามๆกัน เมื่อหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางเรียกชื่อขึ้น “สมคิด นามแก้ว ขอให้ออกมาหน้าห้องด้วย” ข้าพเจ้าเห็นน.ช.สมคิดซึ่งนั่งอยู่ริมห้อง สดุ้งเฮือกแทบจะหงายหลังลงไปกับพื้น แล้วค่อยๆลุกขึ้นเดินออกมาที่ประตูห้อง เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังไขกุญแจเปิดประตูห้อง ข้าพเจ้าคว้าตัวน.ช.สมคิดให้ออกมาจากห้องในทันที ใส่กุญแจมือและตรวจค้นตัว น.ช.สมคิดเกิดอาการเข่าอ่อนยวบขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนายต้องเข้าประคองพาเดินออกมาจากตึกขัง
ระหว่างทางขณะที่ข้าพเจ้านำน.ช.สมคิดไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ น.ช.สมคิดได้ถามข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับ ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหารเนื่องจากยาบ้าใช่ไหมครับ” ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ใช่ เวลานี้รัฐบาลเอาจริงในการปราบยาเสพติดแล้ว เดียวออกไปพ้นจากแดน 1 สมคิดคอยดูนะ จะเห็นพวกนักข่าวมากันเต็มไปหมด แต่สมคิดไม่ต้องไปสนใจอะไร ใครอยากจะถ่ายรูปก็ปล่อยเขาไป คิดเสียว่าอย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นครั้งสุดท้าย พวกพ่อค้ายาเสพติดเห็นแล้วจะได้รู้จักกลัวกันบ้าง คงไม่มีใครอยากถูกยิงเป้าหรอก”
เมื่อนำตัวออกมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรยังมาไม่ถึง น.ช.สมคิดได้พูดขึ้นมาอีก “หัวหน้าครับ ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ต้องเอาพวกนักการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มายิงทิ้งให้หมด ความจริงก็รู้ๆกันอยู่ว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องหรือคอยบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ผมไม่เคยเห็นใครทำอะไรคนพวกนี้ได้เลย มีแต่ยิ่งร่ำรวย และยิ่งใหญ่ในสภาขึ้นทุกวัน ถ้าไม่มีคนพวกนี้คอยสนับสนุน ยาบ้าคงไม่ระบาดหนักขนาดนี้หรอกครับ อย่างของผมนี่ก็เหมือนกัน เจ้าของยาบ้าตัวจริงเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่น ผมเป็นเพียงผู้รับจ้างขนเท่านั้น”
ข้าพเจ้าถามน.ช.สมคิดไปว่า “ในเมื่อรู้ตัวว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และใครเป็นเจ้าของยาบ้า ทำไมสมคิดไม่ให้การกับตำรวจไป ถ้าจับคนพวกนี้ได้ สมคิดคงได้รับการลดหย่อนโทษเป็นผลตอบแทน”
น.ช.สมคิดอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง “หัวหน้าครับ ถึงผมจะให้การซัดทอดไป แต่จะทำอะไรคนพวกนี้ได้ หลักฐานต่างๆที่จะสาวถึงตัวก็ไม่มี เงินทองทั้งหลายที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ก็ผ่านระบบฟอกเงินจนกลายเป็นเงินสะอาด หัวหน้าเห็นไหมครับ บางคนสมัยก่อนยังต้องนั่งรถเมล์และเช่าบ้านเขาอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เป็นยังไงบ้างครับดูเอาเถอะ มีรถราคาหลายล้านจอดเต็มบ้าน บ้านที่ปลูกก็ใหญ่ยังกับวัง เงินในธนาคารมีเป็นร้อยล้าน ทำไมถึงไม่ตรวจสอบถึงที่มาของความร่ำรวยเหล่านั้นกันบ้าง แต่อย่างว่าแหละครับ คนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบก็เป็นคนของพวกนี้กันทั้งนั้น แล้วจะไปตรวจสอบเจออะไร คนที่มารับโทษก็ไม่พ้นที่จะต้องมาเป็นคนระดับพวกผม ที่มีหน้าที่ขนส่งเท่านั้น แล้วมันคุ้มกันไหมครับกับเงินห้าหมื่นบาท แลกกับชีวิตของผมทั้งชีวิต ส่วนเจ้าของยาเสพติดก็ยังลอยนวล แล้วก็หาคนรับจ้างขนรายต่อไป เพื่อถอนทุนของที่ถูกจับงวดก่อน โอกาสที่ยาบ้าจะหมดไปจากประเทศไทยจึงยากมาก”
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรมาถึง ได้เข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือน.ช.สมคิดทันที น.ช.สมคิดได้พูดลอยๆขึ้นมาว่า “ผมไม่คิดว่าคดียาบ้าจะโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ถ้ารู้ว่าจะต้องมารับโทษถึงขั้นนี้ ผมจะหลีกหนีให้ไกลยาบ้าอย่างที่สุด ถึงผมจะเป็นนักโทษคดียาบ้ารายแรกที่ถูกประหาร แต่คงไม่ใช่รายสุดท้ายแน่ ตราบใดที่ยังมีการค้าการเสพกันอยู่ ถ้าใครได้มาอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับผมในเวลานี้ ผมเชื่อแน่ว่าต่อให้เอาเงินค่าจ้างขนของมากองให้เป็นล้านบาทตรงหน้า คงไม่มีใครยอมเกี่ยวข้องด้วยแน่ ผมมารู้ตัวและได้คิดก็ต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว ถ้ามีโอกาสผมอยากฝากบอกถึงคนไทยทั้งประเทศ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าหากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ผลที่ได้รับมามันไม่คุ้มกับชีวิตอันมีค่า ซึ่งกว่าที่จะเติบโตมาได้ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน แต่เวลาจะตาย กลับใช้เวลาแค่เดี๋ยวเดียว และยังทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสียหายไปด้วย พ่อแม่พี่น้องลูกเมียจะมองหน้าใครได้ ในเมื่อคนในบ้านเป็นนักโทษที่ถูกประหารเพราะยาเสพติด”
ข้าพเจ้าได้ตบไหล่เป็นการปลอบใจและให้กำลังใจ หลังจากที่น.ช.สมคิดได้ระบายความในใจออกมาหมดแล้ว น.ช.สมคิดได้ร้องขอกาแฟดำแก่ๆหนึ่งแก้ว และขอบุหรี่สูบหนึ่งมวน ซึ่งก็ได้จัดให้ตามคำขอทันที หลังจากดื่มกาแฟหมดถ้วยและเจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้ทำการอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้น.ช.สมคิดฟัง และเซ็นทราบในคำสั่งนั้น เสร็จแล้วได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมายถึงญาติพี่น้องได้ตามสะดวก ซึ่งเนื้อความในจดหมายมีว่า “ขอให้ทางบ้านอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะยากจนแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเมื่อใด อาจจะต้องมาเป็นแบบตน ซึ่งต้องมาตายด้วยการถูกประหารชีวิต การทำมาหากินอย่างสุจริตอาจจะไม่รวยทันใจ แต่ชีวิตยังสามารถอยู่ได้อีกนานไม่สั้นเหมือนตนในขณะนี้”
ข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้น.ช.สมคิด แต่น.ช.สมคิดไม่แตะต้องอาหารแต่อย่างใด กลับร้องขอกาแฟเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว เสร็จแล้วจึงนำไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์มา ภายในห้องเยี่ยมสำหรับทนาย ซึ่งน.ช.สมคิดตั้งใจฟังอย่างสงบ พร้อมกับได้ถวายปัจจัยแก่พระสงฆ์ แล้วจึงนำตัวไปห้องประหาร
ระหว่างทางข้าพเจ้าถามน.ช.สมคิดว่า “ต้องการรถเข็นหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าสมคิดจะขาอ่อนเดินไม่ไหวนะ” น.ช.สมคิดตอบมาว่า “ไม่ต้องครับหัวหน้า ผมจะพยายามเดินไปให้ถึง อย่าให้ผมนั่งรถเข็นเลย เวลานักข่าวเอารูปผมไปลง จะได้ไม่ต้องอายใคร เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมเป็นคนอ่อนแอ” ขณะเดียวกันนักข่าวได้ถ่ายรูปน.ช.สมคิดในระหว่างเดินไปสู่หลักประหารกันให้วูบวาบไปหมด น.ช.สมคิดได้พูดขึ้น “น่าจะให้ผมได้คุยกับนักข่าวด้วยนะ ผมจะแฉให้หมดเลยว่าใครเป็นตัวการใหญ่ในขบวนการยาเสพติด แล้วใครได้รับผลประโยชน์บ้าง” ข้าพเจ้าตอบกลับไป “ไม่ได้หรอกสมคิดถ้าจะคุยกับนักข่าว ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ก่อน แต่ผมเห็นด้วยนะ ยังไงสมคิดก็จะตายอยู่แล้ว แฉขบวนการค้ายาเสพติดออกมาให้หมดก็ดีเหมือนกัน”
เมื่อถึงศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ข้าพเจ้าได้ให้น.ช.สมคิดได้แวะกราบลาที่หน้าศาล เสร็จแล้วนำไปที่ห้องประหารต่อ เมื่อใกล้ถึงศาลาเย็นใจ น.ช.สมคิดได้เกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนาย ต้องช่วยกันประคองตัวจนถึงศาลาเย็นใจ น.ช.สมคิดได้พูดขึ้น “ทำไมความตายมันถึงน่ากลัวอย่างนี้ จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่รู้ ผมกลัวจังเลยครับหัวหน้า ขอผมปัสสาวะอีกสักครั้งก่อนได้ไหมครับ ผมจะกลั้นไม่อยู่แล้ว” ข้าพเจ้าจึงนำตัวไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างห้องประหาร เสร็จแล้วนำตัวกลับมาที่ศาลาเย็นใจ ส่งดอกไม้ธูปเทียนให้ พร้อมกับนำผ้าดิบมาผูกตา แล้วช่วยกันประคองตัวเข้าไปภายในห้องประหาร
ภายในห้องประหาร ข้าพเจ้าได้นำตัวน.ช.สมคิดไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ทำการผูกมัดตัวกับหลัก ตั้งเป้าตาวัว ใช้ทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร แล้วจึงทำการขอขมาต่อน.ช.สมคิดอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นเหงื่อของน.ช.สมคิด ได้หลั่งออกมาจนชุ่มโชกเพราะความกลัว
พลเล็งปืนเข้าทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืน เพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้ง เมื่อพร้อมแล้วหัวหน้าชุดประหารได้โบกธงแดงลงทันที “ปัง ปัง ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ” รวมทั้งสิ้น 11 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.55 น.
เมื่อครบ 3 นาทีข้าพเจ้าเข้าไปตรวจดูร่างน.ช.สมคิด ปรากฏว่าได้สิ้นใจไปแล้ว หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำร่างน.ช.สมคิดลงจากหลักประหาร จับพลิกตัวให้นอนคว่ำหน้าไว้ เพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือ
นี่แหละครับ ผลของการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อผู้อ่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว จะเกิดความเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ของการค้ายาเสพติด และหลีกหนีให้ห่างไกลพร้อมกับช่วยกันเตือนสติของผู้หลงผิด ให้คิดกลับตัวกลับใจ เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีกต่อไป
ขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณนายสมคิด นามแก้ว จงอยู่ในสุคติภพที่ดีด้วยเทอญ
ขอชมเชยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้นและจับกุม ที่ไม่เห็นแก่สินบนของผู้กระทำผิดที่ได้เสนอให้ และกระทำตามหน้าที่สมศักดิ์ศรีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์