– จากสายเลือดคอร์ลิโอเน่ สู่บทบาทในภาพยนตร์ –
_______________________________________
หลายคนคงเคยประทับใจกับบทบาท ไมเคิล คอร์ลิโอเน่ ของอัล ปาชิโน่ จากภาพยนตร์เรื่อง The Godfather อันลือลั่น ที่กำกับการแสดงโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า กันไปแล้ว ในสารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำ คอปโปล่าได้กล่าวไว้ว่า การที่เขาเลือกอัล ปาชิโน่ นักแสดงหนุ่มที่แทบจะได้ชื่อว่าโนเนมมารับบทบาทสำคัญและแจ้งเกิดให้แก่เขาได้ แทนที่จะเลือกโรเบิร์ต เรดฟอร์ด หรือไรอัน โอนีล ที่กำลังโด่งดังมากๆ ในยามนั้น นอกเหนือจากความเหมาะสมในการสกรีนเทสต์ ก็เป็นเพราะใบหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นอิตาลีแท้ๆ ของอัล ปาชิโน บวกกับดวงตาที่แสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่สวยคู่นั้นของเขา
.
ในเรื่อง The Godfather ดอนวีโต้ คอร์ลิโอเน่ ที่รับบทโดย มาร์ลอน แบรนโด เป็นเด็กหนุ่มชาวเมืองคอร์ลิโอเน่ที่อพยพมายังนิวยอร์กเพื่อหนีตาย จากการที่ครอบครัวของเขามีเรื่องบาดหมางกับมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่แห่งซิซิลี และถูกหมายหัวเอาชีวิต ระหว่างที่กำลังขึ้นฝั่งอเมริกา เจ้าหน้าตรวจคนเข้าเมืองได้ถือวิสาสะเปลี่ยนนามสกุลให้แก่วีโต้ อันโดรลินี ผู้เงียบขรึม มาเป็นนามสกุลคอร์ลิโอเน่ ตามชื่อเมืองที่เขาหนีตายจากมา และวีโต้จึงใช้นามสกุลคอร์ลิโอเน่แทนนามสกุลเดิมของตนมานับแต่นั้น
.
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า อัล ปาชิโน นักแสดงผู้มีเชื้อสายอเมริกัน – อิตาเลียนผู้นี้ ก็มีสายเลือดของชาวคอร์ลิโอเน่ไหลเวียนอยู่ในร่างไม่ต่างจากดอนไมเคิล ลูกชายคนเล็กของดอนวีโต้ที่เขาได้รับบทมาแสดง ปาชิโนเกิดที่นิวยอร์ก ย่านอีสต์ฮาเล็ม พ่อของเขา ซาลวาตอเร่ และโรส ผู้เป็นแม่ ได้หย่าขาดกันตอนเขาอายุได้เพียง 2 ขวบ แม่ของปาชิโนเป็นลูกของเคทและเจมส์ เจอราดิ ที่อพยพมาจากเมืองคอร์ลิโอเน่แห่งซิซิลี เหมือนอย่างเช่นที่ดอนวีโต้ The Godfather ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลคอร์ลิโอเน่ได้อพยพมา
.
มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ชวนประหลาดใจเมื่อได้ล่วงรู้ ว่าชายคนหนึ่งได้รับบาทที่ยิ่งใหญ่จนแทบจะเป็นภาพจำในอาชีพการแสดงของเขาไปแล้ว ว่าเขาเองก็มีสายเลือดเดียวกันกับตัวละครตัวนั้นไหลเวียนอยู่ในร่าง
.
และสิ่งนี้คงจะเป็นความผูกพันอันล้ำลึกระหว่างนักแสดงกับตัวละคร ที่คงจะมีแต่อัล ปาชิโน่ เท่านั้นที่จะสัมผัสถึงมันได้
- โรบิน วิลเลี่ยมส์ สอนลูก -
___________________
.
“ พ่อเคยคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของพ่อคือการต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ไม่ใช่เลย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือการต้องมีชีวิตอยู่กับคนที่ทำให้พ่อรู้สึกโดดเดี่ยวต่างหาก ”
.
โรบิน วิลเลี่ยมส์ พูดกับ เซลด้า ลูกสาวของเขาไว้อย่างน่าสนใจ จนเซลด้าถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือที่เธอกำลังจริงจังในการเล่นมันอยู่ และประโยคนี้มันได้ถูกพูดในที่สาธารณะหลายต่อหลายครั้งจนเป็นคำประจำตัวของโรบิน วิลเลียมส์ ดาราผู้ล่วงลับ
.
“I used to think the worst thing in life was to end up all alone, it.s not. The worst thing in life is to end up with people who make you feel all alone”
.
โรบิน วิลเลี่ยมส์ ไม่เคยให้ราคากับคนที่ทั้งตั้งใจ และ ไม่ได้ตั้งใจ ให้คู่สนทนาดูเป็นไอ้งั่ง หรือ อีโง่ จากการที่คู่สนทนามักทำอย่างอื่นไปขณะที่อีกฝ่ายกำลังตั้งใจพูด เขาติดนิสัยนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาเป็น One Stand-up comedy ฉากหลังของคนตลกโปกฮาคนนี้คือคนที่ซีเรียสจริงจัง และหากมีใครสักคนพยายามทำให้สิ่งที่เขาพูดอยู่บนเวทีนั้นเป็นอะไรที่เหมือนแค่ลมที่ผายออกจากปาก เขาจะพุ่งเป้าหมายไปยังคนๆนั้นแล้วจิกกัดจนคนๆนั้นต้องเงยหน้าหันมาฟัง
.
หลายคนรู้ดีว่าการจิกกัดนั้นมักสร้างความเฮฮาได้เสมอ แต่ลึกๆแล้วโรบินเศร้าใจอย่างมากหากจะมีคนสักคนไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด เขาไม่ได้เศร้าใจที่คนๆนั้นไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่เขาแค่เศร้าใจที่คนๆนั้นจะต้องพลาดสิ่งดีๆในชีวิตไปอีกอย่าง
.
" ผมไม่ได้เสียใจที่คุณไม่ฟังผม แต่ผมแค่เศร้าใจที่คุณได้พลาดบางอย่างไปกับการกระทำอันนอกเหนือจากการฟังของคุณ มันทำให้ผมดูโง่ และยิ่งไปกว่านั้น มันก็ทำให้คุณโง่กว่าผมถึงสองเท่า "
.
โรบิน เคยปฏิเสธการแสดงภาพยนต์เรื่อง BATMAN เพราะระหว่างเจรจาต่อรองในการรับบทนั้น คนที่เจรจากับเขาเอาแต่สนใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากตัวเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ต่อหน้า เขาทิ้งเงินหลายล้านเพียงเพราะเหตุนี้เท่านั้น
— รักสามเส้าของ อีริค แคล็ปตัน —
____________________
.
" Layla, you've got me on my knees.
Layla, I'm begging, darling please.
Layla, darling won't you ease my worried mind. "
.
เป็นท่อนหนึ่งในเพลง Layla ที่ อีริค แคล็ปตัน แต่งให้ แพทตี้ บอยด์ ซึ่งในตอนนั้น แพทตี้ ยังมีสถานะเป็นภรรยาของ จอร์จ แฮริสัน ความสัมพันธ์ของทั้งสามเป็นรักสามเส้าที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นเพื่อน เพลงนี้คือคำอ้อนวอนต่อรักสามเส้าของอีริค
.
อีริค ได้ค้นพบว่าเขาหลงรักเมียของเพื่อนสนิทจนถลำลึกตกสู่ห้วงแห่งแรงปรารถนา ความรักของเขารุนแรงจนน้ำตาถูกกลั่นออกมาเป็นบทเพลง เธอเองก็รักอีริคเช่นกัน แต่ความสัมพันธ์ย่อมมีขอบเขต เธอจึงปฏิเสธรักของอีริค เธอไม่สามารถที่จะทิ้ง จอร์จ ได้เพราะเขาเองก็ไม่ได้ทำผิดอันใดเลย
.
เธอไม่มีวันให้ใครตราหน้าว่าเป็นหญิงโฉดชายชั่วคั่วเมียเพื่อน แต่ทั้งคู่แอบมีใจและแอบพบกันแบบลับๆ โดยที่ในขณะนั้นจอร์จได้เดินทางสายฮินดู เขาคลั่งเทพเจ้าขั้นรุนแรง และไม่ได้ใส่ใจแพทตี้เท่าที่ควร และนั่นเองทำให้ชีวิตคู่ของแพทตี้ กับ จอร์จ เริ่มเหินห่าง แต่มันกลับเป็นแรงผลักให้ แพทตี้ เข้าใกล้ อีริค มากขึ้น
.
อีริค ในช่วงเวลาที่มีเพียงสถานะเป็นคนที่เล่นกีต้าร์ได้เฉียบขาด แต่ยังไม่มีวงของตนเอง สำหรับตลาดเพลง อีริค คือเทพองค์หนึ่งซึ่งยังไร้ที่สิงสถิตย์ ชีวิตอันตกต่ำนำพามาซึ่งความเหงา เขามีบ้านใกล้กับเพื่อนรักอย่าง จอร์จ และแน่นอน เขาหักห้ามใจให้รักแพทตี้ไม่ได้เอาเสียเลย ถึงขนาดต้องหันหาตัวช่วยอย่างน้องสาวแท้ๆของแพทตี้ เพื่อที่จะทำให้หัวใจตนเองมีที่ยึดเหนี่ยวที่คล้ายคลึงกับแพทตี้บ้าง แต่เปล่าเลย ยิ่งเขาออกเดตกับน้องสาวแพทตี้เท่าใด เขายิ่งคิดถึงแพทตี้เท่านั้น
.
รักคือรัก ไม่มีเหตุผลอื่นใด อัลบั้ม Layla and Other Assorted Love Songs ถูกแต่งขึ้นด้วยแรงปรารถนาในตัวแพทตี้ทั้งสิ้น อีริคได้อ่านบทกวีนิพนธ์เปอร์เซียชื่อ The Story of Layla and Majnun ที่พูดถึงเรื่องราวรักต้องห้าม เขาไม่อาจหักห้ามใจให้กลั่นมันออกมาเป็นบทเพลงได้ อีริค ชวนแพทตี้มาที่บ้านแล้วยื่นหนังสือกวีเปอร์เซียเล่มนั้นให้เธออ่าน ในขณะเดียวกันก็เปิดเพลงอัลบั้มที่เขาแต่งจากหัวใจให้แพทตี้ เพลงและบทกวีทำให้แพทตี้เคลิบเคลิ้ม และเริ่มรู้สึกกลัวไปในเวลาเดียวกัน
.
เธอยืนกรานที่จะปฏิเสธรักต้องห้ามของเธอกับอีริค มือกีต้าร์ผู้คลั่งรักเจ็บและเศร้า เขาหันหาเฮโรอีน และใช้ชีวิตเหลวแหลก เขาอกหักจากเมียเพื่อน เป็นความรักที่บ้าบอจนคนรอบกายทนไม่ได้ เขาถูกเรียกสติฟื้นขึ้นมานั่นเพราะทุกคนนึกเสียดายนิ้วของเขา นิ้วอันทรงพลัง นิ้วมือที่ต่อไปอาจสร้างตำนานให้แก่โลก
.
อีริค ฝังเข็มรักษาอาการลงแดง และบำบัดการติดยาจนหายเป็นปรกติ และกลับมาสู่เส้นทางดนตรีอีกครั้ง ในงานๆหนึ่ง อีริค ได้เจอะเจอกับ แพทตี้ และ จอร์จ อีกครั้ง พวกเขาดูห่าเหินกันราวกับว่ามือที่เกาะกุมกันนั้นมันไม่ได้รับกับใบหน้าที่หมางเมินกันเลย ทั้งสามทักทายกัน จอร์จ ยุ่งอยู่กับการทักทายคนในงาน เหลือเพียง อีริค กับ แพทตี้ ที่ยังคงจ้องมองกันตาไม่กระพริบ แรงปรารถนากลับมาอีกครั้ง คราวนี้ทั้งอีริค และ แพทตี้ ดูจะไม่ได้หวาดกลัวความสัมพันธ์เหมือนเมื่อก่อน
.
อีริค ตัดสินใจเดินเข้าไปหาจอร์จอีกครั้งแล้วบอก
.
" จอร์จ กูรักเมีย ...ไม่โกรธนะ รักมานานแล้ว "
.
จอร์จ เงื้อมือขึ้นแล้ว.......โอบไปสุดแรงที่ไหล่เพื่อนรัก
.
" อืมให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อน ตามสบาย อย่าลืมเอาสาวที่ควงอยู่มาแลกกูด้วยนะ "
.
คำพูดของจอร์จทำให้แพทตี้ใจสลาย และมันมากับคำว่าโล่งอกโล่งใจ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ จอร์จ ไม่ได้รักเธออีกแล้ว จอร์จกำลังพัวพันอยู่กับผู้หญิงหลายๆคน รวมถึง มอรีน คอกซ์ ภรรยาของ ริงโก สตาร์ เธอจึงตัดใจจากจอร์จได้ไม่ยาก
.
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นใจให้อีริค รักที่เขาเฝ้ารอมานานบัดนี้รอเพียงสัญญาณตอบรับจากแพทตี้ และแน่นอน เธอรับรักอีริคและเปิดตัวคบหาจริงๆจังๆกับอีริค ทั้งๆที่ยังไม่ได้หย่าขาดจากจอร์จแต่อย่างใด
.
ที่น่านับถือคือ พวกเขาทั้งสามมักนัดพบปะทานอาหาร หรือสังสรรค์กันเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งจอร์จบอกกับอีริคต่อหน้าแพทตี้ว่า
.
" กูคงต้องหย่ากับแพทแล้วว่ะ พวกรักกันจนกูอิจฉา "
.
แคลปตันกลัวว่าคำพูดนี้ของจอร์จจะทำให้แพทตี้เสียความรู้สึกอีก เขาจึงพูดขึ้น
.
" ขอบใจมาก กูจะได้แต่งงานกับคนที่กูรักสุดหัวใจสักที "
.
สมใจในทุกฝ่าย จอร์จ ปลดพันธนาการชีวิตคู่เพื่อแต่งงานใหม่ แพทตี้ กับ อีริค เดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ในเวลาต่อมา อีริคดูเหมือนจะคลั่งไคล้แพทตี้มากกว่าเดิมหลายเท่า จนทุกการย่างกรายของแพทตี้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นบทเพลงดังๆอย่างที่เราได้ยินกัน เช่น “ Wonderful Tonight ” คือหนึ่งเพลงที่อีริคมอบแด่แพทตี้ด้วยดวงใจ
.