ประวัติ และ หลุมศพ ของจิ๋นซีฮ่องเต้
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ คือมหาสุสานของจักรพรรดิจีน จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้) แห่งราชวงศ์ฉิน ตั้งอยู่ที่ตำบลหลินถง ห่างจากเมืองซีอาน มณฑลฉ่านซี ประเทศจีน สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง ชื่อ หยางจื้อฟา ในขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ บริเวณเชิงเขาหลีซาน ห่างจากตัวเมืองซีอาน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กม.[1] โดยในระหว่างที่ขุดนั้น ก็บังเอิญพบกับซากของทหารดินเผา ที่ทราบภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันรัฐบาลจีนขุดค้นพบวัตถุโบราณที่เป็นกองทัพทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000 ตร.ม. มีการคาดคะเนว่าอาณาเขตของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้จะมีพื้นที่มากกว่า 2,180 ตร.กม.[2] สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2530[3]
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เริ่มก่อสร้างในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 38 ปี ตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอาณาเขตพื้นที่ของสุสานรวมทั้งสิ้น 2,180 ตร.กม. แบ่งออกเป็นพระราชฐานชั้นในและพระราชฐานชั้นนอก ภายในสุสานใช้บรรจุพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ตลอดจนกองกำลังทหาร นางสนมและนางกำนัล รถม้าและขุนพลทหาร จำนวนมาก เพื่อเป็นตัวแทนของข้าราชบริพารในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกของจิ๋นซีฮ่องเต้[4]
โครงสร้างและสถาปัตยกรรมโดยรวมของสุสาน มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความลึกเฉลี่ย 35 เมตร กว้าง 145 เมตร และ ยาว 170 เมตร สำหรับห้องบรรจุพระบรมศพอยู่จุดกึ่งกลางของสุสาน มีความสูง 15 เมตร มีขนาดพื้นที่และความใหญ่โตมโหฬารราวกับสนามฟุตบอล สำหรับภายใน ในส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกอย่างดีโดยคงสภาพเดิมเอาไว้ และไม่เคยผ่านการขุดและรื้อทำลายมาก่อน โดยโครงสร้างของสุสานดังกล่าว มีรูปแบบโครงสร้างและการจัดสร้างที่มีความสลับซับซ้อน ขนาดของสุสานมีขนาดมหึมา ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของจักรพรรดิ
ประวัติการค้นพบสุสาน เมืองซีอานเป็นนครแห่งวัฒนธรรม อันมีชื่อเสียงลือเลื่องทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ในประวัติศาสตร์เคยเป็นเมืองหลวง และราชธานีของราชวงศ์จีนรวมกว่า 10 ราชวงศ์ เป็นระยะเวลากว่าพันปี เคยเป็นแหล่งการต่อสู้ของชาวนาในหลายครั้งในการก่อตั้งอำนาจรัฐ ปัจจุบันเมืองซีอานยังคงหลงเหลือร่องรอยของโบราณสถาน และโบราณวัตถุให้พบเห็นได้ทั่วไป และในปี พ.ศ. 2517 ได้มีการขุดพบหลุมฝังรูปปั้นดินเผา รูปปั้นทหารและม้าในสมัยราชวงศ์ฉินขนาดใหญ่ ภายในหมู่บ้านซีหยาง เชิงเขาหลีซานในอำเภอหลินถง ทางทิศตะวันออกของเมืองซีอาน
การขุดค้นพบทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน และยิ่งใหญ่ที่สุดสิ่งหนึ่งของโลกในศตวรรษที่ 20 และตราบจนทุกวันนี้ ทางการรัฐบาลจีนถือว่า สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ยังรอการขุดค้นนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณชิ้นที่ 8 กองทัพทหารดินเผาภายในสุสานและรถม้าสมัยราชวงศ์ฉิน จำนวนมาก มีขนาดใหญ่โตมโหฬารซุกซ่อนอยู่ภายใต้พื้นดิน ตามบันทึกในประวัติศาสตร์จีนถูกขุดพบโดยบังเอิญจากชาวนาตระกูลหยางจำนวน 7 คน ในหมู่บ้านซีหยาง เมืองหลินถง ในต้นของฤดูใบไม้ผลิในปี พ.ศ. 2517 ที่ขุดดินเพื่อหาบ่อน้ำไว้ใช้สำหรับเพาะปลูกในฤดูหนาวที่จะมาถึงภายในหมู่บ้าน ในวันที่ 5 ของการขุดดินเพื่อหาบ่อน้ำ เมื่อขุดลึกลงไปประมาณ 4 เมตร ก็พบกับวัตถุที่ทำด้วยดินเผาที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับเหยือกสำหรับใส่น้ำ จึงค่อย ๆ ขุดดินอย่างระมัดระวัง และเมื่อยิ่งขุดลึกลงไปก็พบกองทัพทหารดินเผาในชุดเกราะ คันธนูและลูกธนูทองเหลืองจำนวนหนึ่ง
หลังการขุดพบโดยบังเอิญ ชาวนาตระกูลหยางได้จุดธูปกราบไว้เพื่อขอขมาเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นวัดหรือโบราณวัตถุ หลังจากนั้นอีก 2 เดือน เจ้าหน้าที่ของทางการที่รับผิดชอบในการขุดหาแหล่งน้ำของจีน ได้เข้ามาตรวจสอบความคืบหน้าของการขุดหาแหล่งน้ำของชาวบ้าน ก็ได้พบกับสิ่งที่ชาวนาตระกูลหยางค้นพบ และสังเกตเห็นถึงลักษณะของอิฐและรูปปั้นดินเผาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่สุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงได้รายงานไปยังทางการของมณฑลฉ่านซี หลังจากนั้นทางรัฐบาลจีนได้เริ่มทำการขุดค้นหาอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา ผลของการขุดค้นพบรูปปั้นกองทัพทหารและรถม้าดินเผามากกว่า 8,000 ตัว และรถม้าไม้มากกว่า 100 คัน ในจำนวนหลุมภายในสุสานที่ขุดพบมีอาณาเขตพื้นที่รวมกันถึงกว่า 20,000 ตร.ม.
ต่อมา เจ้าคังหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรมประจำอำเภอหลินถง ได้ไปตรวจสอบยังบริเวณพื้นที่ที่ชาวนาตระกูลหยางค้นพบ เพื่อทำการกว้านซื้อซากโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าที่ถูกขุดพบ และได้นำออกไปจำหน่ายก่อนหน้านี้ได้ 3 คันรถ เพื่อนำกลับไปยังห้องวิจัยเพื่อทำการศึกษา และต่อมาในต้นเดือนพฤษภาคม เจ้าคังหมินได้จำกัดพื้นที่ในบริเวณอาณาเขตที่ขุดพบจำนวน 120 ตร.ม. เพื่อทำการขุดหาซากของกองทัพดินเผาเพิ่มเติม รัฐบาลจีนได้เข้ามามีบทบาทในการขุดหาเพิ่มเติมของกองทัพทหารดินเผาซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ ลิ่นอันเหวิ่น นักข่าวหนังสือพิมพ์ซินหัว ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่อำเภอหลินถงและพบกับสิ่งที่ชาวนาและเจ้าหน้าที่ขุดพบ เมื่อกลับสู่ปักกิ่ง ได้นำเรื่องกองทัพทหารดินเผาตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ "ชุมนุมเหตุการณ์" ในหนังสือพิมพ์เหรินหมินยื่อเป้า
ต้นเดือนกรกฎาคม รองนายกรัฐมนตรีหลี่เซียนเนี่ยน ได้มีคำสั่งให้กองโบราณคดีและกรรมการมณฑลฉ่านซีของจีน ร่วมกันหามาตรการในการอนุรักษ์โบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ของจีนนี้ และในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 หยวนจงอี้ เจ้าคังหมิน ได้นำทีมนักโบราณคดี เดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านซีหยางอีกครั้ง เพื่อทำการตรวจสอบและขุดค้นเพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2522 กองทัพทหารดินเผาภายใต้มหาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมอย่างเป็นทางการ และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 องค์การยูเนสโกได้ลงมติให้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม[5]
ภายในสุสานประกอบไปด้วยหลุมทหารรูปปั้นดินเผาจำนวนมาก ขุดพบแล้วจำนวน 3 หลุมจากทั้งหมด 8 หลุม ซึ่งสรุปโดยรวมวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบทั้งที่เป็นหุ่นทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม มีจำนวนรวมทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ในหลุมสุสานที่มีอาณาเขตพื้นที่กว่า 25,000 ตร.ม
จิ๋นซีฮ่องเต้ จากหลักฐานบันทึกทางประวัติศาสตร์ ประมาณการกันว่าในช่วง 10 ปีแรกของการรวมแผ่นดินจีนขึ้นเป็นหนึ่งเดียว ทางราชวงศ์ฉินโดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เกณฑ์แรงงานจากทาสและชาวบ้านกว่า 5 แสนคน เพื่อไปก่อสร้างกำแพงเมืองจีนจากด่านหลินเตาในภาคตะวันตก ไปยาวจรดด่านซานไห่กวนชายทะเลด้านฝั่งตะวันออกสุด เพื่อป้องกันการรุกรานของชนเผ่ามองโกลทางตอนเหนือ กำแพงเมืองจีนที่ก่อสร้างโดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุด ที่ได้สร้างขึ้นบนแผ่นดินจีนโดยฝีมือมนุษย์และนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกในยุคกลาง ที่ได้มีการสร้างต่อ ๆ กันมาจนถึงราชวงศ์หมิง
จิ๋นซีฮ่องเต้ได้เกณฑ์แรงงานที่เป็นทาสและชาวนาอีกกว่า 5 แสนคน ลงไปประจำการในเขตภูเขาทางตอนใต้ของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของชนกลุ่มน้อย และอีก 3 แสนคน ขึ้นไปประจำการในเขตทะเลทรายโกบีทางตอนเหนือของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของพวก ฮั่นฉยุงหนู (Hun Xioung Nu) และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทรงเกณฑ์แรงงานอีกกว่า 7 แสนคน เพื่อมาก่อสร้างพระราชวังอาฝางกงและสร้างสุสานรวมถึงการสร้างเหล่ากองทัพทหารดินเผา และกองทัพม้า
จากตัวเลขที่ประมาณการข้างต้น จะเห็นว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ใช้แรงงานประชาชนถึงกว่า 2 ล้านคน คือร้อยละ 10 ของประชากรจีนในยุคสมัยนั้น เพื่อมาก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งเป็นการยากที่จะชี้แจงให้ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นเข้าใจถึงเหตุผลของพระองค์ และแรงงานที่ได้เกณฑ์มาก่อสร้างสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์ที่เป็นกำลังสำคัญของแต่ละครอบครัว พวกชาวนาที่อาศัยอยู่ในถิ่นฐานเดิมถูกพระองค์รีดเก็บภาษี เพื่อนำรายได้เข้าสู่รัฐฉินเป็นทุนในการสร้างสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายของจิ๋นซีฮ่องเต้
กำเนิดสุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสร้างสุสานกองทัพทหารดินเผาขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของพระองค์เอง แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและสถาปัตยกรรมโบราณของจีน และศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จักรพรรดิจีนทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์จะมีความใฝ่ฝันสูงสุดอยู่ 2 ประการคือ 1. ยาอายุวัฒนะ ถ้าหากพระองค์ยังเสาะแสวงหาไม่ได้ สิ่งที่พระองค์จะต้องทำก็คือ 2. การสร้างมหาสุสานขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร เพื่อเป็นที่ประทับชั่วกาลนาน
ชาวจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นมี 2 วิญญาณ วิญญาณแรกคือ โป (Po) ซึ่งจะมาพร้อมกับการเกิดของทารก อีกวิญญาณหนึ่งเรียกว่า ฮั่น (Han) เป็นวิญญาณที่สวรรค์ส่งมารวมกับวิญญาณแรกพร้อมกันตั้งแต่เกิด และเมื่อเจ้าของร่างตายลง วิญญาณแรกหรือโปจะคงอยู่ในร่างนั้น ส่วนฮั่นจะออกจากร่างกลับคืนสู่สวรรค์ไป ถ้าผู้ตายไม่ได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณี โปจะอยู่อย่างไม่มีความสุข เที่ยวเร่ร่อนกลายเป็น กุย (Gui) หรือปีศาจอันชั่วร้าย ชาวจีนทุกคนจึงต้องได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อถึงแก่กรรม โดยจะถูกบรรจุร่างไว้ภายในสุสานตามฐานะของผู้ตาย นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงโปรด ฯ ให้สร้างสุสานของพระองค์ทันทีตามโบราณราชประเพณี และอีกสิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยเป็นพิเศษก็คือ ทรงมีพระราชบัญชาให้ นักพรตสีฝู่ นำตัวเด็กหญิงและเด็กชายพรหมจรรย์นับพันคน ลงเรือเดินทะเล เดินทางไปทางตะวันออกเพื่อแสวงหาเกาะเผิงไหล เกาะฟางเจ้า และเกาะอิ๋งโจว ทรงเชื่อว่าเป็นดินแดนหวงห้ามของมนุษย์ เนื่องจากเป็นที่พำนักของเซียนที่จะมอบยาอายุวัฒนะให้พระองค์ทรงมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ทว่าตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ข่าวคราวและชะตากรรมของคณะเดินทางที่พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจเสี่ยงตายให้นั้น ไม่เคยได้ยินถึงพระกรรณของพระองค์เลยแม้แต่น้อย
หลังทรงขึ้นครองราชย์ในปี 247 ก่อนคริสตกาล จิ๋นซีฮ่องเต้ก็เริ่มสร้างสุสานของพระองค์แล้ว จนถึงในปี 210 ก่อนคริสตกาล เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง งานสร้างมหาสุสานก็ยังไม่แล้วเสร็จ จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปีที่ 2 ของรัชสมัยฉินเอ้อซื่อ ผู้เป็นบุตรชาย (ปี 208 ก่อนคริสตกาล) รวมระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 38 ปี และได้เรียกชื่อสุสานนี้ว่า หลีซานหยวน หรืออุทยานแห่งเขาหลีซาน ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างสุสานตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนปีคริสต์ศักราช เพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของพระองค์ ทรงสร้างหุ่นกองทัพทหารดินเผาจำนวนมากรวมทั้งรถม้าและม้าศึก เพื่อให้ทั้งหมดนี้ติดตามไปรับใช้และอารักขาพระองค์ในปรโลก และเนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทำให้หุ่นทหารดินเผา ม้าศึกและรถม้าจำนวนมากที่ถูกฝังอยู่ภายในสุสาน ล้วนแต่มีขนาดเท่าของจริงทุกประการ รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ ของหุ่นทหารดินเผาและการจัดทัพ ซึ่งเป็นการจัดตำแหน่งตามกระบวนทัพโดยแบ่งออกเป็น 11 แถว ประกอบไปด้วย
แม่ทัพฝ่ายบู๊
แม่ทัพฝ่ายบุ๋น
พลหอก
พลดาบ (ซึ่งอาวุธในมือส่วนใหญ่คืออาวุธจริง)
สารถีประจำรถม้า
ม้าศึก
หุ่นทหารดินเผาภายในสุสานมีขนาดรูปร่างที่แตกต่างกัน มีความสูงประมาณ 1.8 เมตร ลักษณะหน้าตา กริยาท่าทาง เครื่องแต่งกายไม่เหมือนกันแม้แต่ตัวเดียว รัฐบาลจีนที่รับผิดชอบในการขุดค้นสุสานประวัติศาสตร์นี้ เชื่อกันว่าหลุมกองทัพดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ มีด้วยกันทั้งหมด 8 หลุม แต่ในปัจจุบันมีการขุดค้นเพียงแค่ 3 หลุมเท่านั้น เพราะรัฐบาลจีนยังไม่ต้องการทำการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าสีของหุ่นทหารดินเผาที่ขุดพบนั้นจะหายไป ในอดีตเริ่มแรกของการขุดพบกองทัพทหารดินเผาจากสุสานใต้ดินนั้น หุ่นทหารเหล่านี้มีแก้มเป็นสีชมพู สวมเครื่องแต่งกายที่มีสีสันสดใสที่ทาสีเอาไว้อย่างสวยงาม โดยส่วนใหญ่จะสวมเสื้อสีชมพู กางเกงสีเขียวและฟ้า แต่ทว่าเมื่อหุ่นทหารดินเผาถูกอากาศและแสงแดด เกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้สีของหุ่นทหารดินเผาลอกหายไป เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างน่าเสียดาย
จากการตรวจสอบขนาดของมหาสุสานนี้ในปัจจุบันพบว่า สุสานตั้งอยู่บนเนินดินที่เคยสูงประมาณ 115 เมตร มีขนาดคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสเมื่อแรกสร้าง คือ จากทิศเหนือไปใต้ยาวประมาณ 350 เมตร จากทิศตะวันออกไปตะวันตกยาวประมาณ 345 เมตร ตัวสุสานเป็นหลุมขนาดใหญ่ มีความลึกกว่า 30 เมตร นักโบราณคดีประเมินคร่าว ๆ ว่าขนาดของพระราชวังใต้ดินถูกสร้างขึ้นในระดับที่ลึกที่สุดของหลุม มีขนาด 120 x 160 เมตร หรือเทียบเท่าขนาดของสนามบาสเกตบอล 40 สนามรวมกัน และจากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย ยืนยันได้ว่า ภายในสุสานมีสารปรอทจำนวนมากผิดปกติ คือ สูงกว่าระดับปกติถึงกว่า 100 เท่า จึงไม่ผิดกับที่ ซือหม่า เสี่ยน ได้บันทึกในปูมประวัติศาสตร์มากว่า 2,000 ปีที่แล้วว่า "ภายในมีสารปรอทไหลเวียนดุจแม่น้ำและทะเล"
เครดิต : เว็บ วิกิพีเดีย