ย้อนรอยคดีซีอุยฆ่ากินเครื่องในเด็ก
คำเตือนอาจมีภาพหรือเนื้อหาโหดร้ายทารุณ
คดีซีอุยเป็นคดีที่สร้างความสะเทือนขวัญและสร้างความทรงจำที่เลวร้ายให้กับสังคมไทยในยุคสมัยนั้น เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับลูกเล็กเด็กแดงที่เป็นเหยื่อถูกฆาตกรใจร้ายลงมือฆ่าตายด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ แถมยังควักหัวใจและตับไปกิน ข่าวดังกล่าวได้แพร่สะพัดไปในวงกว้างจนถึงกับทำให้ผู้ใหญ่ในสมัยนั้นผวา และห้ามไม่ให้ลูกหลานของตัวเองออกไปไหนคนเดียวและให้คอยระวังคนแปลกหน้า ไม่เช่นนั้นจะถูกหลอกไปฆ่ากินตับและหัวใจ
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าชาวจีนที่รูปร่างเล็กเป็นมะขามข้อเดียว ล่ำสัน ตัดผมสั้นเกรียน มักจะหาวหวอดๆ จนเห็นฟันหน้าที่ยื่นบิดเบี้ยวเหยเก หน้าตาปกติของซีอุยไม่น่ากลัวอะไร แต่เมื่อเวลาหาวแล้วตาของเขาจะลุกโพลงขึ้นทันที ดูคล้ายกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ คดีสอบสวนซีอุยมีการใช้ล่ามเป็นผู้แปลสำนวนส่งให้อัยการมีใจความว่า เขาชื่อซีอุย แซ่อึ้งเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว เกิดปีพุทธศักราช 2470 ที่ซัวเถา ประเทศจีน บิดามารดามีอาชีพทำไร่ ฐานะยากจน ทำให้ชีวิตของเขาในวัยเด็กขาดความอบอุ่น ความเอาใจใส่จากบิดามารดา เขาตัดสินใจเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ หลายครั้งเขาจะโดนเด็กที่ตัวโตกว่ารังแก เอารัดเอาเปรียบ บางทีถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เกิดเป็นความทรงจำฝังใจที่ไม่ดีต่อเขาตลอดมา
ต่อมานักบวชรูปหนึ่งได้แนะนำให้เขากินหัวใจและตับมนุษย์ จะทำให้มีพละกำลัง สามารถต่อสู้ศัตรูที่มารังแก เกิดเป็นความคิดฝังใจซีอุยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาถูกคัดเลือกเป็นทหารเข้าประจำการสมรภูมิรบ หลังจากนั้นเขาได้อยู่ในวงล้อมของข้าศึก ทำให้เสบียงร่อยหลอ ไม่เพียงพอ เกิดความหิวโหย ด้วยความวิปริตผิดมนุษย์ทั่วไป ซีอุยจึงกินอวัยวะภายในของเพื่อนทหารด้วยกันที่ถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิต พอกินเข้าไปแล้ว รู้สึกมีลมออกที่หูดังวิ้งๆ ตลอดเวลา พร้อมกับเริ่มรับรู้ความอร่อยของรสชาติอวัยวะภายในของมนุษย์มากขึ้นทุกที หลังปลดประจำการซีอุยได้หลบหนีความยากจนมาทำมาหากินในแผ่นดินไทยด้วยการเริ่มต้นรับจ้างทำสวนของเจ๊กะป๊อที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ.2497 ซึ่งปัจจุบันครอบครัวของเจ๊กะป๊อได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว และได้ทิ้งปริศนาที่ว่าทำไมเจ๊กะป๊อที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กจึงไม่ถูกซีอุยทำร้าย
เหยื่อรายแรก เด็กหญิงบังอร ภมรสุด
ในที่สุดซีอุยเริ่มลงมือกับเหยื่อรายแรกคือเด็กหญิงบังอร เมื่อวันที่ 10 เมษายน ปีพ.ศ.2497 เมื่อเวลาประมาณทุ่มเศษ ขณะนั้นซีอุยออกมาเดินเล่นในตลาดทับสะแก ระหว่างเดินผ่านหน้าโรงเลื่อยได้พบกับเด็กหญิงบังอรเดินสวนมา ซีอุยจึงปรี่เข้าไปอุ้มเด็ก ใช้มือปิดปากปิดจมูก วิ่งฝ่าความมืดข้างโรงเลื่อย เด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายพยายามดิ้นรนต่อสู้ แต่ไม่สามารถต้านแรงของซีอุยได้ หลังจากนั้นซีอุยได้ลงมือกัดคอหอยเด็กหญิงบังอร และเป็นความโชคดีของเธอที่มีคนเดินผ่านมา ซีอุยจึงผละจากเหยื่อไป เด็กหญิงบังอรรอดตายราวปาฏิหาริย์ ปัจจุบันเธอคือนางบังอร อายุประมาณ 50 กว่า ประกอบอาชีพขายอาหารแถวเสาชิงช้า แต่เธอปฏิเสธที่ให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องอันเลวร้ายที่เธอพบพานในอดีต
เหยื่อรายที่สอง เด็กหญิงนิด แซ่ภู
ถัดมาไม่ถึงเดือน วันที่ 9 พฤษภาคม 2497 ซีอุยได้เริ่มลงมือฆาตกรรมเด็ก ขณะที่ชาวบ้านทับสะแกกำลังสนุกสนานในงานมงคลสมรสของปลัดอำเภอมงคลที่หน้าที่ว่าการกิ่งอำเภอทับสะแก โดยมีเหยื่อคือเด็กหญิงนิด แซ่ภู วัย 9 ขวบ บุตรสาวนางจำเนียร แซ่ภู ถูกทำร้ายด้วยมีดพับปลายแหลมแทงไปที่คอหอยของเด็กเคราะห์ร้ายจนเสียชีวิต ก่อนจะอุ้มร่างไร้วิญญาณของเธอไปตามทางรถไฟ แล้วเลือกใช้สะพานใต้ทางรถไฟเป็นที่ชำแหละศพ รุ่งเช้าข่าวการฆาตกรรมวิตถารได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ชาวอำเภอทับสะแกเกิดความหวาดผวา เป็นที่โจษจันกันอย่างมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถจับกุมฆาตกรรายนี้ได้แต่อย่างใด
เหยื่อรายที่สาม เด็กหญิงม่วยจู แซ่ฮั้ว
หลังจากฆ่าเหยื่อรายที่สอง ซีอุยมาที่พระนครเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 2497 พร้อมกับลงมือฆ่าเด็กหญิงม่วยจู แซ่ฮั้ว อายุ 6 ปี โดยลวงไปฆ่าบริเวณสถานีรถไฟสวนจิตรลดา
เหยื่อรายที่สี่ เด็กหญิงกิมเฮียง
ซีอุยหวนกลับมาที่ทับสะแกอีกครั้ง คราวนี้มาก่อคดีฆาตกรรม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2498 ขณะเดินเล่นอยู่บริเวณโรงลิเกแถวอำเภอสามร้อยยอด เพื่อหาเหยื่อและได้สังหารเด็กหญิงกิมเฮียงอย่างเลือดเย็น
เหยื่อรายที่ห้า เด็กหญิงหงั่น
สี่เดือนถัดมา วันที่ 27 ตุลาคม 2498 ซีอุยได้ลงมือสังหารโหดอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีเด็กหญิงหงั่นเป็นผู้เคราะห์ร้าย บ้านอยู่ที่อำเภอเขาสามร้อยยอดเช่นเดียวกับเด็กหญิงกิมเฮียง
เหยื่อรายที่หก เด็กหญิงซิวจู แซ่ลิ้ม
จนกระทั่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2500 ซีอุยตั้งใจจะไปที่ประจวบคีรีขันธ์อีกครั้งแต่ได้แวะเที่ยวงานตรุษจีนที่จังหวัด และบังเอิญได้เจอเด็กหญิงซิวจู แซ่ลิ้ม อายุห้าขวบเสียก่อนจึงลวงเหยื่อด้วยวิธีการเดิมๆ หลังจากนั้นจึงลงมือฆ่า แล้วควักเอาตับและหัวใจออกมาต้มกิน
เหยื่อรายสุดท้าย เด็กชายสมบุญ บุณยกาญจน์
ท้ายที่สุดแล้วซีอุยก็ไม่อาจหนีพ้นผลกรรมที่เขาก่อไปได้ เมื่อซีอุยได้ลงมือกับเหยื่อรายสุดท้าย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2501 ที่ตำบลเขาไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ซีอุยได้ลงมือฆ่าเด็กชายสมบุญ อายุแปดขวบ ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของนางละมูลและนายนาวา บุณยกาญจน์ ซีอุยใช้มีดแทงคอหอยของเหยื่ออย่างชำนาญ ก่อนใช้มีดพับกรีดหน้าอกควักเอาตับกับหัวใจออกมา แต่ยังไม่ทันได้เริ่มกิน นายนาวาและชาวบ้านได้ออกตามหาเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย และเข้ามาพบศพเสียก่อน ชาวบ้านจึงรุมประชาทัณฑ์ ก่อนจับซีอุยให้ตำรวจเพื่อดำเนินคดี
จุดจบปิดฉากตำนานฆาตกรวิปริตกินคนที่เรือนจำบางขวาง โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ออกคำสั่งลงโทษประหารชีวิตซีอุยด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2502 หลังถูกประหารชีวิตทางราชการได้นำซากศพของซีอุยมาทำการดองเก็บไว้ ที่ตึกนิติเวช โรงพยาบาลศิริราช จากพฤติกรรมของซีอุยที่ฆ่าเด็กแล้วเอาอวัยวะภายในออกมากินนั้น จิตแพทย์ท่านหนึ่งได้วิเคราะห์ไว้ว่า คดีซีอุยนั้นเป็นที่สนใจและพูดถึงในวงการจิตเวชศาสตร์ และเคยมีอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งได้เคยสัมภาษณ์ซีอุย ในช่วงที่ถูกจับได้ใหม่ๆ ท่านผู้นั้นก็คือศาสตราจารย์นายแพทย์อรุณ ภาคสุวรรณ ร่วมกับศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน ซึ่งอาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่าซีอุยมีความผิดปกติทางจิตใจอย่างรุนแรง มีความหวาดระแวง เข้าขั้นที่เรียกว่าความหลงผิดทีเดียว ซีอุยมีความเชื่อตลอดเวลาว่ามีคนคิดปองร้ายเขาอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่มี ซึ่งเราไม่สามารถบอกได้ว่าซีอุยมีความเชื่อแบบนี้มานานหรือยัง และเขายังหลงผิดและได้รับคำแนะนำจากนักบวชว่าการกินอวัยวะภายในของคนจะทำให้เขามีอำนาจเหนือผู้อื่นได้ เมื่อมีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา เขาจึงฆ่าเด็กเพื่อเอาอวัยวะมากิน เพื่อตอบสนองความเชื่อแบบผิดๆ ของเขา เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาทำร้ายเขาได้ แม้ว่าเขาจะกินศพเข้าไปแล้ว แต่ความกลัวนั้นก็ยังมีอยู่ การฆ่าจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรณีอย่างนี้ถ้าเป็นในปัจจุบันนั้นสามารถที่จะรักษาได้ด้วยการใช้ยาร่วมกับการรักษาอื่นๆ