บอนนี่ &ไคลด์ คู่รักนักโจรกรรมรถรุ่นคุณปู่
นายไคลด์ เชสท์นัท บาร์โรว์(Clyde Chestnut Barroe) กับภรรยาของเขา:แม่เสือดาว บอนนี่ อลิซาเบธ พาร์เกอร์(Bonnie Elizabeth Paarker) เป็นโจรปล้นธนาคาร ร้านค้า และปั๊มน้ำมัน โดยใช้พาหนะในการปล้นเป็นรถยนต์ที่ทั้งคู่โจรกรรมมา
นายไคลด์ บาร์โรว์ เกิดวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2452 ส่วนนางบอนนี่ พาร์เกอร์ เกิดวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2453
ทั้งคู่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2477 จากการถูกถล่มยิงโดยตำรวจประจำรัฐเท็กซัส 4 นาย ร่วมกับตำรวจประจำรัฐหลุยเซียนา 2 นาย (ทั้ง 6 นายได้รางวัลจับตายคนละประมาร 200 ดอลลาร์สหรัฐ)
ขณะสิ้นลมหายใจ ไคลด์อายุ 25 ปี ส่วนบอนนี่อายุ 24 ปี พวกเขาฆ่าคนไปถึง 13 คน เคยจับตำรวจเป็นตัวประกันโดยไม่ทำอันตราย แม้ว่าในรถยนต์ของบอนนี่กับไคลด์จะมีปืนเป็นโหลและมีกระสุนนับพันก็ตาม
เรื่องราวของโจรคู่นี้ ถูกนำเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง บอนนี่กับไคลด์(Bonnie and Clyde) ในปี 2510 นำแสดงโดย วอร์เรน เบตตี้ และ เฟย์ ดันอะเวย์ กำกับโดย อาเธอร์ เพนน์ หลายฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำจากสถานที่เกิดเหตุจริงในประวัติศาสตร์ และได้รับการเก็บรักษาไว้ในหอภาพยนตร์แห่งอเมริกา
ไคลด์คงรักรถเป็นชีวิตจิตใจ เพราะเขาต้องใช้ชีวิตรอนแรมกินนอนเดินทางไปในรถมากกว่าอยู่ในบ้าน ไคลด์จึงจ้องจะขโมยรถคันแล้วคันเล่า ขโมยเพื่อที่จะได้เปลี่ยนรถให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ให้ตำรวจตามกลิ่นได้ง่าย แต่ไคลด์ก็มีน้ำใจพอที่จะทิ้งเงินไว้ให้เจ้าของรถที่ขโมยมา
ทักษะในการขับรถอันชาญฉลาดของเขา ช่วยให้เจ้าตัวรอดพ้นจากการไล่ล่าของตำรวจ เท่านั้นยังไม่พอ พ่อเจ้าประคุณอุตส่าห์หาเวลาเขียนจดหมายไปยัง เฮนรี่ ฟอรืด เจ้าของบริษัทฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์ ยี่ห้อโปรดของเขา ความว่า
ไคลด์ชื่นชมสมรรถนะของรถฟอร์ด รุ่น V8 ซึ่งว่องไวและให้ความสะดวกสบาย เรียกได้ว่า มหาโจรคนนี้ คือพรีเซ็นเตอร์ตัวจริงเสียงจริงโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ปัจจุบันนี้จดหมายฉบับนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เฮนรี่ ฟอร์ด ณ เมือง เดียร์บอน รัฐมิชิแกน
จะกล่าวถึงนางเสือ “บอนนี่” เธอเป็นกวีผู้มีความสามารถมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน บอนนี่เคยชนะการประกวดด้านการประพันธ์ แต่โชคชะตากลับพาเธอให้ตกหลุมรักไอ้หนุ่มหัวขโมย รอย ธอร์นตัน เมื่อเธออายุเพียง 16 ปี บอนนี่ออกจากโรงเรียนกลางคัน เพื่อมาแต่งงานกับรอย แต่ชีวิตสมรสของทั้งสองมักระหองระแหง รอยมักหายออกจากบ้านไปนานๆ
เมื่อแต่งงานครบ 2 ปี รอยก็ถูกตำรวจจับในข้อหาลักทรัพย์ เขาต้องรับโทษจำคุก 5ปี โดยที่ไม่เคยหย่าขาดจากบอนนี่ (แม้เมื่อถูกตำรวจยิงตาย บอนนี่ยังคงสวมแหวนแต่งงานของรอยไว้บนนิ้วนาง ในเวลานั้นรอน อดีตสามีของบอนนี่กำลังติดคุก เขาออกมาเห็นว่า บอนนี่กับไคลด์ตายทั้งคู่ก็ยังดีกว่าติดคุก)
ช่วงที่รอยหายไปจากชีวิต บอนนี่ ไปทำงานเป็นสาวเสิร์ฟแต่ก็ทนทำอยู่ได้ไม่นาน ช่วงนั้นไคลด์เป็นเด็กหนุ่มผู้ยากจนข้นแค้น เพราะมีพี่น้องถึง 8 คน (ตัวเขาเป็นคนที่ 6 ) พี่ชายคนที่หนึ่งของไคลด์คือ มาร์วิน ไอแวน บัค บาร์โรว์ ทั้งสองเริ่มพากันลักเล็กขโมยน้อย ตั้งแต่ขโมยไก่ไปจนถึงขโมยรถยนต์
ต่อมาไคลด์กับพี่ชายคนนี้ก่อตั้ง “แก๊งบาร์โรว์” เพื่อโจรกรรมรถยนต์มาใช้ในการปล้น ก่อนที่จะมาพบกับบอนนี่ ไคลด์เคยมีแฟนมาแล้ว 2 คน บางตำนานเล่าว่าแฟนของเขาคนที่หนึ่งถูกไคลด์ฆ่าตาย แต่ไคลด์ไม่เคยแต่งงาน
บุพเพอาละวาด!
เดือนมกราคม ปี 2473 บอนนี่กับไคลด์ได้พบกันที่บ้านเพื่อนของทั้งสอง ทันทีที่ได้เห็นหน้า พวกเขาถูกชะตากันทันที แต่เพียง 2-3 อาทิตย์ให้หลัง ไคลด์ต้องโทษจำคุก 2 ปีในคดีเก่า
บอนนี่บุกเข้าไปหาไคลด์ถึงที่คุมขัง เพื่อนำปืนซึ่งเธอขโมยมาไปให้ไคลด์ใช้ในการหนีคุก แต่ไม่นานไคลด์ก็ถุฏจับได้อีก คราวนี้ต้องโทษ 14 ปีที่คุกในรัฐเท็กซัส ไคลด์รู้มาว่า ถ้าหากเขาพิการก็จะได้ถูกจำหน่ายออกจากคุก ไคลด์จึงขอให้เพื่อนนักโทษใช้ขวานจามหัวแม่เท้าของเขาออกทั้งสองข้าง
การลงทุนด้วยเลือดทำให้ไคลด์ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกเพื่อเหลือโทษเพียงทำทัณฑ์บน วันที่ก้าวออกจากคุกไคลด์สาบานว่า ต่อไปนี้จะยอมตายดีกว่าไปติดคุกอีก
เขาคงลืมไปว่าช่วงที่ออกมาจากคุก เศรษฐกิจของอเมริกากำลังเป็นช่วงขาลง ไม่มีงานสุจริตสำหรับเด็กหนุ่มผู้ไร้การศึกษาอย่างไคลด์ ดังนั้น ทันทีที่เท้าหายเจ็บ เข่าจึงเริ่มประกอบอาชีพลักเล็กขโมยน้อยอีกรอบ
แต่คราวนี้ไคลด์มีบอนนี่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ในการโจรกรรมครั้งแรก โดยมีร้ายขายวัสดุก่อสร้างเป็นเป้าหมาย ทว่าการปล้นครั้งนี้ล้มเหลว ส่งผลให้บอนนี่ที่นั่งดูต้นทางการปล้นอยู่ในรถยนต์ถูกจับเข้าคุกอยู่พักหนึ่ง แม้ในช่วงที่บอนนี่ติดคุกอยู่ ไคลด์ยังคงไม่หยุดปล้น แต่ในที่สุดบอนนี่ก็ถูกปล่อยตัวเพราะขาดหลักฐาน
บอนนี่รู้ดีว่าหากอยู่กับไคลด์ เธอมีสิทธิ์ถูกจับตาย แต่ด้วยความรักทำให้เธอไม่อาจหักใจทิ้งโจรหนุ่มไปได้ การมีสาวสวยเป็นกำลังใจในการปล้นคงทำให้ไคลด์ฮึกเหิมเหมือนเนื้อเพลงบอนนี่กับไคลด์ที่มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า…
“all of my dates been blind dates but today, I got my thoroughest girl with me I’m mashing the gas, she’s grabbing the wheel”She rides with me so don’t let the necessary occur, yep!
ความโด่งดังของบอนนี่กับไคลด์ มิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะในบทเพลง หนังสือภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ในปี 2552 พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมและการลงทัณฑ์แห่งสหรัฐอเมริกา(the National Museum of Crime&Punishment : NMCP) แสดงนิทรรศการชั่วคราว แสดงเรื่องราวของคุ่โจรบอนนี่กับไคลด์
นิทรรศการดังกล่าวประกอบด้วย สิ่งของในตำนานของบอนนั้กับไคลด์ อาทิ กระจกหน้าต่างบ้านของไคลด์ในดัลลาสตะวันตก, กระเบื้องมุงหลังคาธนาคารในรัฐเท็กซัส ซึ่งถูกแก๊งของไคลด์โจรกรรมเมื่อปี 2477 รวมทั้งหนังสือพิมพ์ดัลลาส มอร์นิง สตาร์ นิวส์ (Dallas Morning Star News) ฉบับวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2477 ที่พาดหัวข่าบอนนี่กับไคลด์ถูกตำรวจฆ่าตายหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ขายได้ถึง 5 แสนฉบับ
นิทรรศการถาวรแสดงเรื่องราวของคู่โจรบอนนี่กับไคลด์ได้นำรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด ซึ่งกลายเป็นสุสานของทั้งสองมาจัดแสดงด้วย
ตามประวัติ ศพของบอนนี่กับไคลด์มีกระสุนฝังอยู่ไม่ต่ำกว่าศพละ 50 นัด แม้บอนนี่กับไคลด์จะเคยสั่งเสียให้ฝังร่างของทั้งสองเคียงข้างกัน ทว่าบรรดาญาติพี่น้องต้องแยกฝังตามภูลำเนา บนป้ายหินเหนือหลุมฝังศพของไคลด์จารึกข้อความตามที่เขาสั่งไว้ว่า
“Gone but not forgotten”
(จากไปแต่ยังเป็นที่จดจำ)
สมเป็นตำนานนักโจรกรรมรถยนต์ยุคคุณปู่ ผู้ไม่มีใครลบสถิติความโด่งดังได้ มาตราบเท่าทุกวันนี้