สงครามครูเสด (The Crusades)
การใช้คำว่า “ครูเสด” (กางเขน) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ แสดงให้เห็นว่าสงครามเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นในนามของสงครามศาสนา เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้สงครามเริ่มต้นขึ้น
นักประวัติศาสตร์อธิบายถึงสาเหตุของสงครามนี้ไว้ด้วยกันหลายประการ บางคนเชื่อว่าความเข้มงวดของชาวมุสลิมที่มีต่อผู้แสวงบุญชาวคริสต์ที่ไปเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการพิชิตของชาวเติร์กซัลจู๊ค จึงเป็นสาเหตุปลุกเร้าให้ชาวคริสต์หาทางที่จะยึดครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ [1]
แต่ในทางตรงกันข้าม นักประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งกล่าวเช่นนี้ว่า เป้าหมายต่าง ๆ ทางการเมืองและเศรษฐกิจของกษัตริย์และผู้นำชาวคริสต์ คือสาเหตุที่มาของสงครามเหล่านี้ [2]
ความเจริญรุ่งเรืองของกลุ่มประเทศอิสลามและอารยธรรมอิสลาม เป็นสิ่งล่อใจของบรรดากษัตริย์เหล่านั้น ความใฝ่ฝันที่จะไขว่คว้าเอาประเทศเหล่านี้มาอยู่ในอำนาจครอบครองของตนเป็นหนึ่งในความปรารถนาของบรรดากษัตริย์ชาวตะวันตกตลอดมา
การเรียกร้องของจักรพรรดิคอนสแตนติโนเปิลเพื่อการทำสงคราม
เพื่อที่จะทำให้ความฝันอันเก่าแก่ของตนเป็นจริงขึ้นมา อเล็กซิส [3] จักรพรรดิคอนสแตนติโนเปิล ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปาในสมัยนั้น โดยขอร้องจากท่านให้เรียกร้องเชิญชวนชาวคริสต์สู่การทำสงครามเพื่อยึดครองบัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม)
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II)
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II) [4] จึงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นจากคริสตจักรต่างๆ ของตะวันตกเพื่อนำเสนอเรื่องนี้ ผู้นำคริสตจักรทั้งหลายต่างเห็นพ้องตรงกันในการตัดสินใจนี้ และประกาศความพร้อมที่จะเริ่มต้นสงครามศักดิ์สิทธิ์กับชาวมุสลิม [5]
เสียงระฆังของสงครามดังขึ้น
ไม่นานนักการรณรงค์อย่างเข้มข้นเพื่อโน้มน้าวประชาชนก็เริ่มต้นขึ้น ผู้นำคริสเตียนได้ปลุกระดมภายใต้หัวข้อที่ว่า “บัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ และเป็นของคริสตชน” พวกเขาเตรียมความพร้อมชาวคริสต์สำหรับการทำสงคราม บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการยุยงส่งเสริมประชาชนให้ออกไปทำสงครามศาสนา คือพระคริสต์ผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่าปีเตอร์ [6] ซึ่งประชาชนรู้จักเขาในนาม “ฤาษี” เขาสวมใส่เสื้อผ้ามอมแมมและถือกางเขนขนาดใหญ่ ขี่ลาเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของยุโรป และรวบรวมประชาชนจำนวนมากมาอยู่กับเขา เพื่อการทำสงครามครั้งนี้ [7]
ปีเตอร์มหาฤาษี (Peter the Hermit)
สมเด็จพระสันตะปาปาได้ออกคำประกาศฉบับหนึ่ง และให้คำมั่นสัญญาว่าผู้ที่ย่างก้าวไปบนเส้นทางของการต่อสู้จะได้รับการอภัยโทษจากความผิดบาป
“ทุกคนที่เดินทางไปบนเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะโดยทางบกหรือทางทะเล หรือตายในขณะที่ทำสงครามกับพวกบูชาเจว็ด (หมายถึงพวกที่ไม่ใช่ชาวคริสต์) บาปต่าง ๆ ของพวกเขาจะถูกลบออกไปทันที ฉันจะให้สิ่งนี้โดยผ่านอำนาจของพระเจ้าที่ฉันได้รับมอบมา” [8]
แต่กระนั้นก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ก็หวังว่าการเข้าร่วมในสงครามครูเสด จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่เพียงคนธรรมดาสามัญเท่านั้นที่เข้าร่วมสงครามนี้ ทว่าแม้แต่ผู้นำคริสเตียนก็เข้าร่วมด้วย โดยไม่มีการยกเว้นจากกฎข้อนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้กล่าวกับบรรดาพระคริสต์และบาทหลวงในที่ประชุมสภาคลีมองต์ (Council of Clermont) ว่า
“เยรูซาเล็มคือดินแดนสวรรค์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขภิรมย์และปัจจัยอำนวยสุขต่าง ๆ เป็นดินแดนที่ให้ผลผลิตที่ดีกว่าดินแดนอื่น ๆ ทั้งมวล เมืองนี้คือเมืองจักรพรรดิที่ตั้งอยู่ในใจกลางของโลก คาดหวังจากพวกท่านที่จะรีบรุดในการช่วยเหลือมัน" [9]
สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง
ไม่นานนักกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ของสังคมก็ถูกจัดตั้งขึ้น และเคลื่อนทัพมุ่งสู่บัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า จำนวนทหารของกองทัพครูเสดประมาณ 6 แสนคน
กองทัพเริ่มต้นเดินทางสู่บัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) ในระหว่างการเดินทางตลอดเส้นทางก็จะปล้นสะดมเมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางนั้น หลังจากเดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็มก็ได้ปิดล้อมเมืองนี้ไว้เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการยึดครอง ผู้รุกรานเหล่านั้นหลังจากที่เข้าไปในเมืองก็ทำการเข่นฆ่าสังหารประชาชนอย่างเหี้ยมโหด ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ในหน้าประวัติศาสตร์
พวกเขาจะใช้ดาบสังหารทั้งชาวยิวและชาวมุสลิมทุกคนที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จนทำให้เมืองนี้นองไปด้วยเลือด นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกผู้หนึ่งได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไว้เช่นนี้ว่า :"เฉพาะในวิหารโซโลมอน ศีรษะของมนุษย์จำนวนนับหมื่นถูกแยกออกจากร่างกาย และเท้าของพวกเขาจมอยู่ในกองเลือดจนถึงข้อเท้า จะให้ผมสามารถพูดอะไรได้อีก? ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดไปได้แม้แต่เพียงคนเดียว แม้กระทั่งชีวิตของบรรดาสตรีและเด็กๆ พวกเขาก็ไม่ละเว้น" [10] เป็นไปตามกระบวนการดังกล่าวนี้ สงครามครูเสดครั้งแรกจึงได้สิ้นสุดลงหลังจากระยะเวลาสามปี
สงครามครูเสดครั้งที่สอง
ในปี ค.ศ. 1145 ชาวมุสลิมได้ยึดเอาเมืองโอเดสซากลับคืนมา ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญมาก เมื่อข่าวการยึดเมืองนี้กลับคืนได้ไปถึงกรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปาจึงตัดสินใจระดมประชาชนออกสู่สงครามอีกครั้งหนึ่งเพื่อยึดเมืองนี้กลับคืน ไม่นานนักกองทัพของชาวคริสต์ก็เคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองโอเดสซา ในครั้งนี้กองทัพแบ่งออกเป็นสองส่วน และเคลื่อนพลไปสู่ภูมิภาคนี้จากสองเส้นทาง
แต่ในครั้งนี้ชาวเติร์กซัลจู๊กได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ได้สร้างความปราชัยให้กับกองทัพคูเสดทั้งสองส่วน และทำลายกองทัพนี้ลงเกือบสองในสามของจำนวนทหารในกองทัพ หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้กองทัพของครูเสดก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง หลังจากการฟื้นฟูและเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพแล้ว พวกเขาได้ตัดสินใจบุกโจมตีกรุงดามัสกัสซึ่งถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์หนึ่งของมุสลิม เพื่อที่จะยึดครองเมืองนี้ไปเป็นของตนเอง
การเผชิญศึกในช่วงแรกแม้ว่ากองทัพครูเสดจะสามารถเอาชนะได้ก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ไม่เป็นที่แน่ชัด ผู้บัญชาการกองทัพได้ออกคำสั่งให้ถอนทัพ หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่วันก็มุ่งหน้าเดินทางกลับสู่กรุงเยรูซาเล็มโดยมิได้บรรลุผลสำเร็จใดๆ [11] บางคนกล่าวว่าสาเหตุดังกล่าวเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างผู้บัญชากองทัพคูเสดกับผู้ปกครองของดามัสกัส แต่สิ่งนี้ก็เป็นเพียงการคาดการณ์เพียงเท่านั้น สาเหตุต่างๆ ของการถอนทัพครั้งนี้ไม่เป็นที่เปิดเผย และกลายเป็นความลับหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์
เป็นเวลายาวนานหลายทศวรรษที่สันติภาพในระดับหนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างประเทศต่างๆ ของอิสลามและของคริสเตียน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 เรโนลต์ โดชาเตียน เจ้าชายแห่งอันติอ๊อก (Antioch) ได้กระทำการที่ไร้ความเป็นสภาพบุรุษด้วยการโจมตีกองคาราวานการค้าของมุสลิมที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครมักกะฮ์ ทำให้มุสลิมเกิดความโกรธแค้น เจ้าชายองค์นี้ได้ปล้นสะดมทรัพย์สินของกองคาราวาน และไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ออกคำสั่งให้สังหารบรรดาบุรุษของกองคาราวานนี้ และจับกุมตัวบรรดาสตรีและเด็กไปเป็นเชลย
ซอลาฮุดดีน อัยยูบี
ในช่วงเวลานี้ ซอลาฮุดดีน อัยยูบี ผู้ปกครองซีเรียได้เรียกร้องให้เรโนลต์ปล่อยตัวเชลยศึกและจ่ายค่าสินไมทดแทนเลือดของผู้ที่ถูกฆ่าตาย แต่เรโนลต์ไม่ได้ให้ความสนใจ และยังปฏิเสธที่จะให้การต้อนรับคณะผู้แทนของซอลาฮุดดีน ซอลาฮุดดีนจึงจัดกองทัพขนาดใหญ่และเคลื่อนพลไปยังกรุงเยรูซาเล็ม หลังจากสองสัปดาห์ของการิดที่ล้อมเมืองนี้ไว้ก็สามารถพิชิตเมืองนี้ได้สำเร็จ [12]
สงครามครูเสดครั้งที่สาม
การถูกโค่นล้มของกรุงเยรูซาเล็ม ได้สร้างความหวาดกลัวและความโกรธแค้นให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวคริสต์อย่างใหญ่หลวง กองทัพครูเสดจึงตัดสินใจอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่งที่จะยึดครองกรุงเยรูซาเล็มกับมาเป็นของตน กองทัพครูเสดภายใต้การนำทัพของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า ริชาร์ด ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่รู้จักในนามกษัตริย์ “ริชาร์ดใจสิงห์” (Richard the Lionheart) ได้บุกโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างเต็มกำลังของซอลาฮุดดีนและกองทัพที่อยู่ภายใต้คำบัญชาของเขา ท้ายที่สุดเมื่อเอากันไม่ลง ซอลาฮุดดีนได้เสนอการทำสนธิสัญญาสงบศึกกับกษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์ ภายใต้สนธิสัญญาสงบศึกครั้งนี้ คริสเตียนสามารถที่จะเดินทางไปเยือนและแสวงบุญในกรุงเยรูซาเล็มได้อย่างอิสระ และสงครามครูเสดครั้งสามจึงสิ้นสุดลง [13]
กษัตริย์ “ริชาร์ดใจสิงห์” (Richard the Lionheart)
สงครามครูเสดครั้งที่สี่
ในปี ค.ศ. 1204 ชาวคริสเตียนได้บุกโจมตีเมืองคอนสแตนติโนเปิล และยึดเมืองนี้ไปเป็นของตน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสยดสยองที่สุด ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึงเมืองนี้ก็เริ่มการเข่นฆ่าสังหารอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาไม่มีความเมตตาปรานีต่อใครทั้งสิ้น แม้แต่เด็ก ๆ ก็ถูกฆ่าตายในสภาพที่แสนอเนจอนาถ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้แต่คริสตจักรต่าง ๆ ของเมืองนี้ก็ไม่ปลอดภัยจากการปล้นสะดม [14]
สงครามครูเสดครั้งที่ห้า
ในปี ค.ศ. 1218 สมเด็จพระสันตะปาปาได้ปลุกกระตุ้นชาวคริสต์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อส่งกองทัพไปยังภูมิภาคนี้หวังจะพิชิตประเทศอียิปต์ แต่ความทะเยอทะยานของผู้นำคริสเตียนไม่อาจทำให้ภารกิจครั้งนี้บรรลุผล ทั้งนี้เนื่องจากชาวฝรั่งซึ่งโดยปกติจะเข้าช่วยในกองทัพเพื่อทำศึกสงครามเหล่านี้ แต่ขณะนี้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของความสงบสุขและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางไปกับกองทัพครูเสด ในที่สุดชาวครูเสดก็ต้องกลับสู่ยุโรปโดยไม่สามารถไปถึงยังเป้าหมายที่กำหนดไว้ [15]
สงครามครูเสดครั้งที่หก
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสงครามหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีการหลั่งเลือดใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากในปี ค.ศ. 1229 กษัตริย์เฟรเดอริคที่ 2 (Frederick II) แห่งเยอรมนี หลังจากที่เคลื่อนทัพไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็พบว่าชาวมุสลิมไม่มีความต้องการที่จะปกครองเหนือกรุงเยรูซาเล็ม สุลต่านแห่งอียิปต์ได้บรรลุข้อตกลงกับเฟรเดอริค และมอบกรุงเยรูซาเล็มให้อยู่ในอำนาจของเฟรเดอริค สงครามครูเสดครั้งที่หกจึงสิ้นสุดลงโดยที่ไม่มีการหลั่งเลือดแต่อย่างใด [16]
กษัตริย์เฟรเดอริคที่ 2 (Frederick II) แห่งเยอรมนี
สงครามครูเสดครั้งที่เจ็ดและแปด
กรุงเยรูซาเล็มอยู่ในอำนาจของชาวคริสต์เป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งมุสลิมบางส่วนที่รู้สึกไม่พึงพอใจต่อการกระทำของกษัตริย์อียิปต์ พวกเขาได้บุกโจมตีกรุงเยรูซาเล็มและยึดมาเป็นของตน ในปี ค.ศ. 1250 พระเจ้าหลุยส์ ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส (Louis IX of France) ตัดสินใจที่จะยึดครองเมืองศักดิ์สิทธิ์ เขาได้บุกโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างหนักหน่วงจากมุสลิม ไม่เพียงแต่แผนการของพระเจ้าหลุยส์จะไม่บรรลุความสำเร็จเท่านั้น ทว่าเขาเองยังถูกจับกุมตัวโดยมุสลิม หลังจากจ่ายค่าไถ่ตัวอย่างหนักอึ้งเขาจึงได้รับการปล่อยตัว [17]
พระเจ้าหลุยส์ ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส (Louis IX of France)
สงครามครูเสดครั้งสุดท้ายก็เช่นกัน เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการยึดครองเมืองอันติอ๊อก (Antioch) หรือ “อันตอกียะฮ์” ในปี ค.ศ.1268 โดยชาวมุสลิม อีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงโชคพร้อมกับลูกชายของเขา และสงครามครูเสดครั้งที่แปดจึงถูกจัดเตรียมขึ้น แต่เนื่องจากอายุขัยของเขาไม่อำนวยและได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1270 สงครามครูเสดครั้งสุดท้ายจึงสิ้นสุดลงไปด้วย [18]
หลังจากการเสียชีวิตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แล้ว เมืองต่างๆ ที่เคยตกอยู่ในการยึดครองของชาวคริสต์ได้ถูกพิชิตคืนโดยมุสลิมเมืองแล้วเมืองเล่า เมืองเอเคอร์ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายที่ถูกยึดครองโดยชาวครูเสด และจากการพิชิตเมืองนี้ในปี ค.ศ. 1291 ยุคแห่งการครอบครองเมืองต่างๆ ของอิสลามโดยชาวคริสต์ก็สิ้นสุดลง
เชิงอรรถ
[1] อะลัดร์, จอห์น, ประวัติศาสตร์การปฏิรูปคริสตจักร, พิมพ์ปี 1947 (ปีอิหร่าน), สำนักพิมพ์บีนอ, หน้า 25
[2] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี; สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 11
[3] Alexius
[4] Urban II
[5] รันซีมาน, สตีเฟ่น, ประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสด, แปลโดย มานูเจฮัร, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, เล่มที่ 1, หน้าที่142
[6] ปีเตอร์ฤาษี (Peter the Hermit)
[7] อะลัดร์, จอห์น, ประวัติศาสตร์การปฏิรูปคริสตจักร, พิมพ์ปี 1947 (ปีอิหร่าน), สำนักพิมพ์บีนอ, หน้า 25
[8] แวน โวริส, โรเบิร์ต เอ, ศาสนาคริสต์ในตำราต่างๆ, แปลโดยญะวาด บอกบอนี และ รอซูลซอเดะฮ์, สำนักพิมพ์สถาบันอิหม่ามโคมัยนี, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, หน้าที่ 222
[9] ดูแรนท์, วีล , ประวัติศาสตร์อารยธรรม, แปลโดยอบูฏอลิบ ซอริมี และเพื่อนร่วมงาน, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1378 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้ง 6, เล่มที่4, หน้าที่ 786
[10] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี : สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 91
[11] รันซีมาน, สตีเฟ่น, ประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสด, แปลโดย มานูเจฮัร, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, เล่มที่ 2,หน้าที่ 285-330
[12] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี : สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 122-125
[13] อาร์ กูรีก, เจมส์, ปลายยุคกลาง, แปลโดยมะฮ์ดี ฮะกีกัต คอฮ์, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 93
[14] รันซีมาน, สตีเฟ่น, ประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสด, แปลโดย มานูเจฮัร, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, เล่มที่ 3,หน้าที่ 149 -150
[15] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี : สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 152
[16] หนังสืออ้างอิงเล่มเดิม, หน้าที่ 153
[17] ดูแรนท์, วีล, ประวัติศาสตร์อารยธรรม, แปลโดยอบูฏอลิบ ซอริมี และเพื่อนร่วมงาน, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1378 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้ง 6, เล่มที่4, หน้าที่ 814
[18] อาร์ กูรีก, เจมส์, ปลายยุคกลาง, แปลโดยมะฮ์ดี ฮะกีกัต คอฮ์, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 97
ที่มา : แฟ้มข่าวและบทความ เว็บไซต์ www.sahibzaman.com