พระอรหันต์โลสกะ ผู้ไม่เคยได้ทานอาหารอิ่มเลยสักมื้อ จนกระทั่งมรณภาพ
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่พระสารีบุตรออกรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน ได้ไปพบเด็กอนาถาคนหนึ่ง สภาพตัวมอมแมม ภาพที่เห็นขณะนั้น เป็นภาพที่เด็กนั่งก้มหน้า กำลังเก็บเศษข้าวที่เขาเททิ้งแล้วกินทำไมหนอทำไมหนอลูกเต้าเหล่าใครพระสารีบุตรรำพึงในใจ ส่วนลึกก็รู้สึกเวทนา..หลังจากรับบาตรเสร็จแล้ว จึงได้เดินตรงเข้าไปหาเด็กคนนั้น สอบถามถึงบ้านช่อง ถึงพ่อแม่แต่คำตอบที่ได้คือ ฮึ
บ้านอยู่ไหนหนู......ฮึ พร้อมกับสั่นหัว
พ่อแม่หนูเป็นใคร.....ฮึพร้อมกับสั่นหัว
ความสงสารสภาพของเด็กเวลานั้น พระสารีบุตรจึงชวนเด็กไปที่วัด หลังจากตัวเองฉันเรียบร้อยแล้ว ก็นำอาหารที่เหลือให้เด็กได้ทาน
หลังจากเสร็จภารกิจเรื่องฉัน ทั้งของตนและเด็กน้อยอนาถานั้นแล้ว พระสารีบุตรเอ่ยขึ้นด้วยต้องการจะสงเคราะห์ว่า ....หนูบวชไหมหลวงตาจะบวชให้....หนูบวชแล้วจะได้ไม่ต้องระเหเร่รอน เก็บเศษอาหารกินอย่างนี้ เมื่อเด็กน้อยตอบตกลง ด้วยตนเองก็มองไม่เห็นทางชีวิตข้างหน้าเหมือนกัน พระสารีบุตรจึงจัดการปลงผม และทำการบวชให้ เนื่องจากอายุยังไม่ครบบวชพระ จึงได้แค่บวชเป็นสามเณรแทน
อ้อ ! สามเณรน้อยอนาถารูปนี้ ความจริง เธอมีชื่อว่า "โลสกะ"
โลสกะ เมื่อบวชมาแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติ อุปัฏฐากรับใช้อุปัชฌาย์คือสารีบุตรอย่างดี เป็นสามเณรว่าง่ายสอนง่าย อยู่กับพระสารีบุตรจนกระทั่งอายุครบบวช พระสารีบุตรจึงเป็นเจ้าภาพบวชพระให้อีก บวชเป็นพระแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติตามคำแนะนำอุปัชฌาย์ และก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
มีเรื่องประหลาด และแต่จริง ควรจะนำมากล่าวในที่นี้ กล่าวคือ นับตั้งแต่พระโลสกะบวชมา คัมภีร์ได้พรรณนาไว้ว่า ท่านบิณฑบาตไม่เคยได้ข้าวพออิ่มท้องแม้แต่วันเดียว บางวันออกจากวัดไปอย่างไร กลับมาก็อย่างนั้น คือได้บาตรเปล่า หลายต่อหลายครั้ง ต้องอาศัยเพื่อน ๆ มีเมตตา เห็นใจแบ่งปันให้ได้พอประทังชีวิตในสมณเพศ การบิณฑบาตรไม่ได้ หรือไม่พอฉันของพระโลสกะ กลายเป็นเรื่องปกติวิสัย จนพระเณรในวัดทราบเป็นอย่างดี
วันหนึ่ง พระสารีบุตรขณะนั่งพักอิริยาบถด้วยสุขอันเกิดจากฌานสมาบัติ ท่านก็ได้ระลึกถึงลูกศิษย์ ท่านได้โน้มจิตของท่านตรวจดูความเป็นไปก็พบว่า ลูกศิษย์ของท่านจะมรณภาพ (ตาย) ในวันนี้ ด้วยความสงสาร และต้องการจะสงเคราะห์ศิษย์ครั้งสุดท้ายให้เธอได้กินอิ่มหนำเต็มปากเต็มท้องสักวันก่อนตาย
คิดอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงเดินออกจากที่พัก พร้อมอุ้มบาตรไป และชวนโลสกะออกบิณฑบาตด้วยกัน อย่างน้อยให้ลูกศิษย์เดินตามหลัง คงพอได้อาศัย "บารมี" อาจารย์ ช่วย คงไม่อดกระมัง....เช้าวันนั้น โลสกะจึงออกบิณฑบาตโดยเดินตามหลังพระสารีบุตรอุปัชฌาย์เข้าหมู่บ้านไป
แปลก....วันนี้ ทั้งพระสารีบุตร และพระโลสกะเดินผ่านบ้านไหน ล้วนแต่มีเหตุที่จะ "ไม่ได้ข้าว" หลายบ้านติดต่อกันจนผิดสังเกต
เป็นต้นว่า "นิมนต์ไปข้างหน้าก่อนเจ้าค่ะ วันนี้ตื่นสาย",
นิมนต์ไปข้างหน้าก่อนครับ วันนี้ไม่ได้หุงข้าวเลย ข้าวตอนเย็นเมื่อวายังเหลืออยู่เยอะ",
นิมนต์ไปข้างหน้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ วันนี้เสียบไฟหม้อหุงข้าวไว้ แต่ดันลืมกดสวิสต์" อะไรประมาณนี้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้หลาย ๆ บ้านเข้า พระสารีบุตรก็เอะใจ เอ ! ชักจะไม่ได้การณ์แล้วละ ขืนเป็นอย่างนี้ จะอดทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ คิดได้อย่างนั้นจึงบอกลูกศิษย์ให้แยกทางกันเดิน แล้วค่อยพบกันที่วัด
หลังจากแยกทางได้ไม่นาน สถานการณ์ก็เข้าสู่ภาวะปกติ พระสารีบุตรได้อาหารจากละแวกบ้านต่าง ๆ พอสมควรแก่การฉันแล้ว ท่านก็เดินออกจากบ้าน ไปพักอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และทำภัตตกิจของตนเสร็จแล้วก็นึกถึงลูกศิษย์ เอ จะได้ฉันหรือยังหนอ คิดได้ดังนั้น จึงได้ฝากอาหารโยมผู้หนึ่งไปให้พระโลสกะที่วัด ส่วนตนเองก็จะตามไปทีหลัง
โยมก็ใจดี มีความเอื้อเฟื้อ รับเป็นธุระให้ รับห่ออาหารและกับข้าวไปยังวัดที่พระโลสกะพักอยู่
แต่เจ้ากรรมไปยังไม่ถึงวัดด้วยซ้ำ ระหว่างทางนั้นเอง โยมผู้ใจดีท่านนั้นก็เกิดเดินไปสดุดท่อนไม้ ล้มลง ทำให้อาหารที่ถือมาหกกระจัดกระจายเรี่ยรายบนพื้นดิน ที่สำคัญเลอะเทอะ เก็บมาคืนไม่ได้แล้ว
ก็เป็นอันว่า อาหารที่ฝากไป....ไม่ถึงมือพระโลสกะที่วัด
ว่ากันว่า (อีกแล้ว) วันนั้นพระโลสกะบิณฑบาตไม่ได้อาหารแม้แต่ทัพพีเดียว ท่านจึงกลับเข้าไปที่พักของท่าน ตักน้ำฉันแล้วก็ไปนั่งเสวยสุขอันเกิดจากฌานสมาบัติแทน
ฝ่ายอุปัชฌาย์สารีบุตร เมื่อเสร็จภารกิจของตนแล้ว ก็กลับวัด ใจหนึ่งก็ห่วงลูกศิษย์ จึงได้เดินเข้าไปยังที่พัก เข้าไปถามว่า วันนี้ได้ฉันอะไรหรือยังคำตอบ..ยังขอรับตายซิ !!! นี่มันสามโมงกว่าแล้วแล้วเห็นโยมที่เอาอาหารมาให้ไหม ? ผมบอกให้เอามาให้ท่านไม่เห็นขอรับสิ้นคำของลูกศิษย์ พระสารีบุตรรู้สึกสงสารจับใจ และด้วยความต้องการที่จะสงเคราะห์ลูกศิษย์ วันนั้นท่านก็ทำในสิ่งที่ "ไม่เคย" ทำมาก่อนในชีวิต นั่นคือการออกรับบิณฑบาตเป็นครั้งที่ 2
ท่านอุ้มบาตรออกจากวัด เข้ายังหมู่บ้าน เวลาสายแล้ว ชาวบ้านก็ไปทำงานกันหมด ข้าวที่หุงก็กินกันไปแล้ว จะเอาอาหารเป็นเดนมาใส่บาตรก็ "กระไร" อยู่ ท่านจึงต้องเดินต่อไป
ในที่สุด พระสารีบุตรก็ได้อาหาร จริง ๆ จะว่าอาหารก็ไม่เชิงนัก เป็นน้ำนมที่เขาเพิ่งรีดจากแม่โค โยมท่านหนึ่งเห็นท่านบิณฑบาตผิดเวลา จึงมาเทใส่บาตรพอประทังชีวิต
พระสารีบุตรพอได้น้ำนมแล้ว ท่านก็กลับวัด พร้อมกับนำมาให้พระลูกศิษย์ได้ฉัน โดยท่านลงทุนป้อนน้ำนมนั้นใส่ปากพระโลสกะด้วยตนเอง เกรงว่าจะมีอันเป็นไปไม่ได้ฉันอีก
หลังจากฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (แม้จะไม่อิ่มเหมือนฉันข้าว) พระโลสกะก็เกิดอาการผิดปกติ จุกเสียดอย่างรุนแรง แล้วท่านก็มรณภาพในวันนั้นนั่นเองอนิจจาน่าสงสารท่านยิ่งนัก วันนี้ควรจะได้อิ่มก่อนตาย แต่ก็ไม่สำเร็จ ได้แค่พอประทัง....พระสารีบุตรปลงสังเวชอีกครั้ง..
พระภิกษุในวัดทราบข่าวว่าพระโลสกะมรณภาพก็มาชุมนุม ขณะเดียวกันก็ยกเรื่องราวของพระโลสกะมาสนทนาปราศัย ทำไมหนอ ท่านจึงมีชีวิตน่าสงสารอย่างนี้ทำไมตั้งแต่บวช จึงอาภัพ บิณฑบาตก็ไม่เคยได้พอฉันในแต่ละมื้อเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของท่านท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาบวช และก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ปัญหาเหล่านี้ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นพูดคุยในงานศพของท่าน.....แล้วมีใครบ้างล่วงรู้ ....... และให้คำตอบได้บ้าง ?
เรื่องนี้คงต้องติดตามอ่านตอนต่อไป วันนี้รู้สึกยาวแล้ว
แต่สุดท้ายขอทิ้งประเด็นฝากไว้ว่า
เรื่อง "กรรม" ทำมาของคนเราแต่ละคนนั้น จำแนกคนให้ "แตกต่าง" ดีก็มี ร้ายก็มากเวียนวนคละเคล้ากันไป
ชีวิตเป็นอย่างนี้ พระโลสกะมี "กรรม" ก็เพราะท่านได้ "สร้างกรรม" เอาไว้ และผลกรรมอันนั้นติดตามให้ผลแก่ท่านในชาตินี้ แม้ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่ "เศษกรรม" ก็ยังไม่หมด ท่านจึงรับสภาพ "อด ๆ อยาก ๆ" ในสมณเพศโดยไม่ขัดขืน