ความรักของแม่
หลายคนคงจะเคยได้ยิน โรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในขณะ การตั้งครรภ์ ใช่ไหม ถ้าเกิดหญิงตั้งครรภ์ ได้มีอาการของโรคนี้แทรกเข้ามาในช่วงขณะการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่หมอจะวินิจฉัย ให้ผ่าตัดนำเด็กออก เพื่อช่วยชีวิตแม่ โดยหมอ ใช้คำว่าหยุดการตั้งครรภ์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ฉันได้รู้จักโรคนั้น "ครรภ์เป็นพิษ"
ดิฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากมีลูกสักคน ฉันเฝ้ารอคอยเดือนแล้วเดือนเล่า หมดเงินกับการซื้อแผ่นตรวจการตั้งครรภ์ ถ้ารวมเป็นเงินก็หลายพัน ในที่สุดวันหนึ่งสิ่งที่ฉันรอคอยมาทั้งชีวิต ก็เป็นจริง เมื่อฉันแผ่นตรวจ ปัสสาวะขึ้นสองขีด ความรู้สึกมันดีใจ มันที่สุดนะ ตื่นเต้นไปทุกอย่าง หาหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์มาอ่าน ไปฝากครรภ์ คอยระวัง ไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน มีความรู้สึกตลอดเวลาว่ามีสิ่งมหัศจรรย์ เล็กๆอยู่ในร่างกายเรา
หลังจากนั้น ร่างกาย ของดิฉันเริ่มเปลี่ยน มันปวดกระดูก กล้ามเนื้อ มันอ่อนเพลีย เริ่มทานอะไรก็ไม่อร่อย พอได้กลิ่นข้าวเริ่มเวียนหัว และอาเจียน แต่ฉันก็ยังไปทำงานตามปกติ ตอนนั้นดิฉันมีอาชีพเป็นครูในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งการทำงานเริ่มต้นแต่เช้ามืดและจบลงกว่าจะถึงบ้านฟ้าก็มืดพอดี ต้องเดินขึ้นบันไดหลายชั้น ช่วงนั้นดิฉันท้องได้สองเดือน
ในขณะที่เดินขึ้นเกิดปวดท้องบีบๆ ใจเริ่มไม่ดี กลัวทุกอย่าง บอกตัวเองไม่ดีแน่ ขอลากลับบ้านไปหาหมอ หมอบอกคุณมีอาการแท้งคุกคาม ห้ามเดินห้ามขึ้นบันได หรือยกของหนัก เพราะอาจจะทำให้แท้งได้ นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิต ดิฉันตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะรักษาสิ่งสำคัญในชีวิตไว้ หลังจากนั้น ดิฉันเฝ้าหาข้อมูล และเลือกแม้แต่นมที่บำรุงร่างกาย ไม่นานดิฉันก็แข็งแรงขึ้น
พอเริ่มเข้าสู่เดือนที่สี่ ดิฉันตื่นเต้นมาก เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขยับอยู่ในท้อง เป็นครั้งแรกที่ดิฉันรู้สึกถึงชีวิตน้อยๆมีการเคลื่อนไหว มันตื่นเต้น มีความสุข บางครั้งเขาสะอึก เราก็สามารถสัมผัสได้ โดยปกติคนตั้งครรภ์จะมีน้ำหนักขึ้น ระหว่าง 9-12 กิโล แต่ดิฉันหนักขึ้นมา 18 กิโล ทั้งที่ทานปกติ ร่างกายเริ่มบวมมากขึ้น เหนื่อยง่ายขึ้น ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองผิดปกติ แต่คนรอบข้างบอกดิฉันคิดมาก อ่านหนังสือมาก ก็คิดมาก
พอย่างเข้าสู่เดือนที่แปด อยู่ดีๆในขณะที่ลุกขึ้น เกิดอาการหน้ามืด เห็นเหมือนลูกไฟยิบๆ และหายใจไว พี่สาวที่เป็นพยาบาลขอวัดความดัน ผลปรากฎว่าความดัน 120/175 สูงมาก โดยเฉพาะคนตั้งครรภ์ถือว่าอันตรายมาก ที่บ้านพาดิฉันส่ง รพ. คุณหมอเอาตัวไว้ อาการของดิฉัน คือกดไปตรงขาจะบุ๋มนานมากเพราะร่างกายจะบวมทั้งตัว ความดันสูง
วันนั้นดิฉันถึงรู้จัก โรคชนิดนี้ เขาเรียก ครรภ์เป็นพิษ คุณหมอบอก สาเหตุเกิดจากตัวเด็ก และรกเด็ก ทำพิษกับแม่ ทำให้แม่บวมน้ำ ความดันสูง และถ้าสูงมากจะทำให้เส้นเลือดในสมองของคุณแม่แตกและเสียชีวิต โรคนี้ส่วนใหญ่คนยุโรปเป็นกันเยอะ แต่ไม่ใช่ว่าคนเอเซียจะไม่เป็นนะ มี แต่ไม่มากเท่าคนยุโรป
ห้าวันในห้องเตรียมคลอด คุณหมอบอก ที่ต้องให้ดิฉันอยู่ในห้องนี้ เพราะมีพยาบาลอยู่ด้วยตลอดเวลา และถ้าเกิดอะไรขึ้นสามารถช่วยเหลือได้ทันที ทุกๆ 8 ชั่วโมง พยาบาลจะมาฉีดยา ซ้าย และขวา ครั้งละ 2 เข็ม เพื่อช่วยขยายปอดให้เด็ก เมื่อเขาออกมาจะสามารถหายใจได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วย ห้าวัน ความดันมีขึ้นมีลง ต้องเหน็บยาที่ลิ้น เพื่อช่วยลดความดัน
จนคืนวันที่ 24 ธ.ค ร่างกายดิฉันเริ่มส่งสัญญาณที่ไม่ดีหลายอย่าง หายใจไม่ทัน ปวดหัวมาก ความดันเริ่มขึ้น ยาเหน็บใต้ลิ้นเริ่มเอาไม่อยู่ หลังจากตลอดเวลที่อยู่ รพ ดิฉันโดนเข็มฉีดยาร่วมเกือบ 30เข็ม พยาบาลเริ่มแจ้งคุณหมอ และโทรตามญาติ หมอสั่ง งดอาหาร และสวนก้น เพื่อให้ถ่าย สั่งให้แมคนีเซียม "แมคนีเเซียม" คือยาขยายเส้นเลือด หลอดใหญ่มากคะ ค่อยๆฉีดยาให้เดินไปตามสายน้ำเกลือ
สาเหตุที่ต้องค่อยๆฉีดเพราะ ขณะที่ยาวิ่งเข้าสู่เส้นเลือดนั้น แสนทรมาณมากคะ เหมือนเส้นเลือดจะแตกออก ปวดวิ่งไปตามเส้นเลือดของร่างกาย กว่าจะหมดหลอดเกือบครึ่งชั่วโมงคะ หลังจากนั้นเตรียมตัวเข้าสู่ห้องผ่าตัด นำเด็กออก โดยคุณหมอใช้คำว่ายุติการตั้งครรภ์ ดิฉันร้องหาแต่แม่ น้ำตาไหลตลอดเวลา ไม่ได้กลัวตายสักนิด แต่ห่วงชีวิตที่อยู่ในท้อง กลัวไปหมด กลัวเขาไม่สมประกอบ กลัวพิการ กลัวสมองผิดปกติ และพอขณะที่พาเข้าห้องผ่าตัดยอมรับว่าไม่กลัวอะไรแล้วทั้งนั้น อยากเห็นหน้าลูก อยากให้ลูกปลอดภัย
จากนั้นพอเคลื่อนย้ายขึ้นเตียงผ่าตัด ก็ทำการบล็อกหลัง หมอบอกให้ขดตัวและโก่งตัวให้มากที่สุด สมองมันเบลอๆ จำไม่ได้ว่าเจ็บแค่ไหน รู้แต่มีการฉีดยาชาเข้ากระดูกและได้ยินเสียงบล็อกผ่านกระดูกดังกลึกๆ สองครั้ง จากนั้น พยาบาลให้นอนหงายและมัดมือทั้งสองข้าง พร้อมผ้าปิดตา เดิมที คุณหมอถามว่าจะให้วางยา หรือบล็อกหลัง ก็ได้ถามถึงข้อดี และข้อเสีย การบล็อกหลังเราจะรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น อาจมีผลกระทบบ้าง สำหรับคนที่แพ้ยาอาจเกิดผื่นคันได้ และผลระยะยาว จะส่งผลให้ มีอาการปวดหลัง ส่วนถ้าวางยา เราจะไม่รับรู้อะไรเลย แต่ เด็กในท้องจะหยุดหายใจชั่วขณะ พอได้ยินดังนั้น เลยตัดสินใจทันที ว่าบล็อกหลัง มาต่อกันหลังจากมัดแขนสองข้าง และใส่เครื่องจับชีพจรแล้ว คุณพยาบาลทำการปิดตา สักพักคุณหมอได้ทำความสะอาดบริเวณท้องรับรู้ความรู้สึกว่าเย็นๆ
และหลังจากนั้น ดิฉันก็รู้สึกว่าตัวเองมีแค่ส่วนบน ตั้งแต่ใต้ราวนมลงไป ไม่รับรู้เหมือนไม่มีอวัยวะส่วนนั้นในร่างกาย สักพักก็ได้ยินเสียง เหมือนเสียงเครื่องดูดน้ำลายตอนเราไปหาหมอฟันนะคะ มันก็คือเครื่องดูดเลือดเสีย จะบอกว่าผ้าปิดตาไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะดิฉัน ยังสามารถมองเห็นทุกขั้นตอนที่สะท้อนผ่านไฟข้างบนทุกอย่าง ตลอดเวลาดิฉันคอยลุ้น อยากเห็นหน้าลูก สวดมนต์ ขอให้เขาปลอดภัย ทั้งๆที่คุณหมอทำการผ่าตัด เพื่อช่วยชีวิตดิฉันก่อน สักพักคุณพยาบาลมากระซิบว่าเดี๋ยวเราจะทำการทำคลอดน้อง
เพราะคุณหมอผ่าท้องกรีดยาวแบบสมัยใหม่ตามรอยบีกินนี่ พยาบาลจึงต้องทำการกดจากใต้ราวนมและดันน้องออกมา ความรู้สึกเหมือนโดนเตะ เข้าที่ท้องอย่างแรง จุกมาก พยาบาลบอกน้องคลอดแล้วนะคะ และแอบเห็นพยาบาล สามถึงสี่คนรุมทำความสะอาดให้น้อง พยาบาลกระซิบต่ออีก เดี๋ยวจะทำคลอดนำรกออกมานะคะ ที่นี้น้ำตาร่วงคะ เหมือนโดนเตะซ้ำอีกรอบ
หลังจากนั้นพยาบาลพาน้องมาให้ดู ครั้งแรกที่เห็นน้ำตาจากไหนไม่รู้มันพรั่งพรูออกมาตลอด และได้หอมน้อง ทาง รพ. ถ่ายรูปแรกคลอดให้ดิฉันกับน้องคู่กัน ตัวน้องแดง ปากแดง ตัวนิดเดียว และหลังจากนั้นพยาบาลแจ้งกับดิฉันว่า น้องคลอดเวลา 22.02 นาที และคุณหมอจะทำการเย็บแผล คุณแม่หลับนะคะ พยาบาลได้วางยาสลบ มาฟื้นอีกที ในห้องพักฟื้น
เช้าวันรุ่งขึ้น 25 ธ.ค. ดิฉันเจ็บแผลแต่ได้ขอคุณหมอไปดูหน้าน้องคุณหมอผลัดจนเกือบเที่ยงถึงยอมให้ดิฉันได้นั่งรถเข็น ไปทั้งๆที่ยังใส่สายท่อปัสสาวะ เจ็บแต่อดทน อยากเห็นหน้าเขา พอไปถึงห้องเด็กอ่อน เปลี่ยนรองเท้าใส่ชุดคลุมป้องกันการติดเชื้อ ล้างมือ และพยายามพยุงตัวให้ลุกให้ได้ ค่อยๆก้าวเท้าไป ไม่สามารถยืดตัวได้ตรงคะ ระหว่างรอ ตื่นเต้นมาก
สักพักคุณพยาบาลนำน้องมาให้ สงสารลูกจับใจ ดิฉันน้ำหนักขึ้น 18กิโล แต่รกไม่สามารถลำเลียงอาหารสู่น้องได้ดีพอ น้องคลอดออกมาด้วยน้ำหนัก 1,980 ก.ก อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ ประมาณแปดเดือน หลังจากทารกคลอดออกมาน้ำหนักจะลดลงไปอีกเหลือ 1,750 ก.ก ถุงมือ ถุงเท้าที่น้องสวม ยังต้องติดสก๊อตเทปเลยคะ น้องตัวเล็กมาก ร้องตลอดเวลา แต่แข็งแรง ไม่ต้องอยู่ตู้อบ พยาบาลบอกว่าที่น้องร้องเพราะหิว แต่คุณหมอสั่งให้ทานได้ทีละนิด แต่เพิ่มจำนวนครั้งให้มากขึ้นคะ
ดิฉันได้สัมผัสความรู้สึกการให้นมบุตรครั้งแรก มันบอกไม่ถูก ไม่รู้จะบรรยายมาเป็นความรู้สึกได้อย่างไร ตื้นตัน อบอุ่น นึกถึงแม่ หลังจากนั้น สามวันคุณหมออนุญาตให้ดิฉัน กลับบ้าน แต่น้องยังไม่ได้กลับ เพราะน้ำหนักน้อย คุณหมอกลัวน้องปรับสภาพร่างกายไม่ได้ ตลอดเวลาที่ดิฉันกลับมาอยู่บ้าน ดิฉันร้องไห้ทุกวันแบบไม่มีสาเหตุ มันทุกข์ไปหมด รู้แต่อยากร้องไห้
หมอบอกว่า อาการของดิฉัน เขาเรียกโรคซึมเศร้าหลังคลอดคะ ทุกวันดิฉันปั้มน้ำนมแช่ฟิต ไปหาลูกทุกวันคะ ในวันที่ 31 ธ.ค. เป็นวันที่ทาง รพ. โทรมาแจ้งข่าวดี บอกว่าน้องน้ำหนัก 2,000 ก.ก แล้วคะ คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ มันช่างเป็นวันที่วิเศษ และมีความสุขที่สุดในโลกเลยคะ
ที่ดิฉันได้เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และการคลอดบุตรให้ทุกคนได้อ่าน เพียงเพื่อ อยากให้หนุ่มสาว ที่กำลังมีความรัก หรือยังไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ ได้เห็นถึงสิ่งที่มหัศจรรย์ ในชีวิตลูกผู้หญิงคนหนึ่ง
หลายคนอยากมีลูก แต่ไม่สามารถมี หลายคนมีปัญหาตลอดการตั้งครรภ์ แต่เขาก็ต่อสู้ สู้เพื่อ ลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ทางกลับกัน ในขณะที่สังคมเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แต่จิตใจคนหลายคนกับไม่เจริญตาม ตกต่ำลง ฆ่าได้แม้แต่ลูกในไส้ตัวเอง โดยการทำแท้งบ้าง นำไปทิ้งบ้าง ฆ่าทิ้งก็มี ดิฉันก็หวังว่าประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ของดิฉันจะให้แง่คิดอะไรดีๆสำหรับลูกผู้หญิงได้บ้างคะ