เรื่องราวแสนเศร้าในการพรากจากของแม่-ลูกในสมรภูมินองเลือด
ซามิรา แม่ชาวซีเรียคนหนึ่งตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลังจากลูกชายของเธอบอกว่า ต้องการจะเดินทางไปยุโรป เหมือนกับชาวซีเรียคนอื่นๆหลายพันคนที่หนีสงครามกลางเมืองไปมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ซามิราจะต้องเลือกระหว่างยอมเสียลูกชายวัย 24 ปี ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเธอไปในสงคราม หรือจะให้เขายอมเสี่ยงภัยอันตรายลี้ภัยออกนอกประเทศไป
ก่อนที่ลูกชายจะทิ้งข่าวที่แสนน่าตกใจนี้ ซามิราก็ได้ติดตามสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยอยู่แล้ว ซึ่งข่าวการเสียชีวิตของผู้ลี้ภัยในทะเลจึงทำให้เธอรู้ว่าระหว่างทางไปจุดหมายของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยภัยอันตรายขนาดไหน
เธอกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า “ฉันยื่นคำขาดไปแล้วว่าจะไม่ให้เขาไป เพราะเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของฉัน และข่าวโศกนาฏกรรมทั้งหลายที่รับรู้มานั้นมันทำให้ฉันรู้ว่าระหว่างทางการลี้ภัยนั้นเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย”
“ฉันไม่เห็นด้วยเพราะมันไม่มีอนาคตที่มั่นคงของผู้ลี้ภัยในยุโรปเลย และคำตอบก็ฉันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง”
ซามิราที่ยังเป็นแม่หม้ายและแม่ของลูกสาวอีกสองคน กล่าวว่า ฉันอดทนต่อความขัดแย้งมานานห้าปี เพราะได้กำลังใจจากลูกๆ ดังนั้นเราจะต้องอยู่ด้วยกัน เพื่อแบ่งเบา ฝ่าฟัน และจัดการกับความยากลำบากไปด้วยกัน
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจของเธอนั้นไม่ใช่เพราะเธอเห็นแก่ตัว แต่เพราะเธอเป็นห่วงและกังวลต่ออนาคตของลูกชายเธอต่างหาก
เธอกล่าวว่า “เราอดทนกันมานานถึงห้าปี และตอนนี้สถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้นแล้ว ฉันจึงไม่อยากให้เขาหนีไปยุโรปเพราะฉันไม่คิดว่ามันจะส่งผลดีต่อเขา อย่างที่เราเห็นกันว่าผู้ลี้ภัยจะต้องเจอและได้รับการปฏิบัติอย่างไร ฉันไม่สามารถทนเห็นเขาอยู่ในสถานการณ์นั้นได้”
อีกทั้งเธอยังกลัวว่าลูกชายของเธอจะไปเจอกับกลุ่มหัวรุนแรง ซึ่งก็กำลังก่อการร้ายอยู่ในประเทศทางตะวันตกเช่นกัน “ทุกคนก็เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในปารีส คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าจะไม่มีชาวมุสลิมเลยสักคนที่ถูกกล่าวโทษจากเหตุการณ์ดังกล่าว บางทีฉันอาจจะวิตกมากไป แต่ฉันแค่ไม่อยากให้ลูกชายต้องตกกลายเป็นเหยื่อของความเกลียดชังจากสงคราม”
แต่อย่างไรก็ตามหากว่าลูกชายของเธอยังยืนยันที่จะไป เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียแต่ “อวยพรให้เขามีชีวิตที่ดี”
“อมีร์” ลูกชายของเธอเป็นนักศึกษาปี 3 ในจังหวัดดามัสกัส ถึงแม้ภายนอกจะดูสุขุมแต่เต็มไปด้วยความคิดในหัวของเขา โดยเขากล่าวว่า “ผมกำลังคิดว่าจะออกไปจากประเทศภายในสองปีนี้ แต่ผมยังมีเงินไม่พอ”
เขากล่าวว่า ผมกำลังเก็บเงินจากการรับทำฟรีแลนซ์เป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ของอิรักในดามัสกัส เพราะในวันนี้ชาวซีเรียไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะออกจากประเทศผ่านเส้นทางที่ผิดกฎหมายเข้าไปในยุโรป ซึ่งจะประหยัดเงินได้มากกว่าเส้นทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเส้นทางดังกล่าวจะต้องเดินทางผ่านตุรกี ไปที่กรีซ หลังจากนั้นก็สามารถเข้าไปในประเทศในยุโรปได้
เขากล่าวว่า “ผมกำลังติดต่อกับเพื่อนที่สามารถเดินทางไปถึงยุโรปแล้ว และให้พวกเขาช่วยผมหาเส้นทางที่ปลอดภัยมากที่สุดและองค์กรลักลอบคนอย่างผิดกฎหมายที่น่าไว้ใจมากที่สุด”
อมีร์ไม่เหมือนกับแม่ของเขา ที่มองโลกในแง่ร้ายในเรื่องผลกระทบความขัดแย้งในประเทศ และกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าจะหยุดยิงกันแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมในเรื่องการเมือง และตอนนี้ผมยังไม่เห็นทางแก้ไขของปัญหาทั้งหลาย”
เขาเน้นว่าการไปยุโรปไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กลับประเทศบ้านเกิดอีกแล้ว
“ผมอยากจะไปที่นั้นเพื่อฝึกฝนตนเอง ไม่อยากอยู่แต่ที่นี้ตลอดไป ผมจะเก็บเงินเพื่อไปเอาใบปริญญาที่นั่นแล้วกลับมาหาครอบครัวที่นี้”
เรื่องราวของอมีร์ก็เหมือนกับเรื่องราวของชาวซีเรียหลายร้อยคน ที่ผู้เป็นแม่จะต้องโบกมืออำลาคนที่เป็นที่รักเพื่อหวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ลี้ภัยที่ต้องการเดินทางไปยุโรปได้สร้างวิกฤตขึ้นในยุโรปเนื่องจากกระแสผู้ลี้ภัยจำนวนมากได้หลั่งไหลข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป เพื่อเดินทางไปถึงทางตะวันตกของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมนี นั่นเอง