ทำไมองคุลีมาลนิพพานเพราะอะไร
ทำไมองคุลีมาลนิพพานได้?...ใช้วิธีใด?
มนุษย์จะต้องรู้ว่า เรื่องเล่าจากชาดกครั้งที่พระพุทธองค์ทรงโปรดองคุลีมาลนั้น ทันทีที่องคุลีมาลได้ฟังพระกระแสรับสั่งว่า "เราน่ะหยุดแล้ว...ท่านสิ...ยังไม่หยุด" องคุลีมาล get ทันที นั่นคือ เกิดสติทางวิญญาณขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะพระพุทธองค์ทรงใช้พลังความรักเมตตาและพระดำรัสเป็นตัวกระตุ้นกระตุกต่อมคิดต่อมปัญญาญาณ เพื่อสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณขององคุลีมาลอย่างแรง จึงช่วยให้องคุลีมาลที่สภาวะจิตในขณะนั้นหม่นมัว ปัญญาญาณมืดบอด ถูกกระชากให้สั่นสะเทือนสูงขึ้นทางด้านบวกอย่างเฉียบพลัน การมีสำนึกในผิดถูกดีชั่วและบาปบุญคุณโทษในการกระทำของตนจึงเกิดขึ้นมาได้ก่อนที่จะสายเกิน เพราะเหลือแต่การทำมาตุฆาตแม่ตัวเองแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นแล้ว....
เห็นหรือยังว่า....
ถ้าเพียงแค่มนุษย์รู้สำนึกผิดด้วยจิตหยาบ รู้ที่จะสำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ ในกรรมที่ตนกำลังกระทำอยู่ ในกรรมที่ตนกำลังจะกระทำ หรือในกรรมใดๆที่ตนได้กระทำไปแล้วในอดีตกาลผ่านมา บุรพกรรมหรือวิบากกรรมทั้งหมดของตนนั้นก็จะเป็นโมฆะหรือว่างอย่างหมดสิ้น ณ บัดนั้น...นี่คือมหัศจรรย์แห่งจิตล่ะคุณเอ๊ย... ดีกว่าเอามันมาใช้ตัดตะเกียบ หรือคิดชั่วต่อคนอื่นๆว่ามั้ย?
พอองคุลีมาลเกิดการสำนึกในผิดบาปของตนได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว (คงต้องใช้เวลาฟังพระเทศนาของพระศาสดาอยู่พอสมควร) วิบากกรรมจึงไม่มีเหลือแล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่ "พันธะกรรม" เท่านั้นที่องคุลีมาลต้องรับผิดชอบแก้ไข ไม่งั้นนิพพานไม่ได้ สิ่งที่องคุลีมาลทำ...ก็คือ กราบทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธองค์ไงครับ....เมื่อบวชแล้วสิ่งที่องคุลีมาลทำต่อก็คือ รักษาจิตให้บริสุทธิ์ฝึกกรรมฐานตามวิธีพุทธะ เพื่อสร้างสมถะหรือฝึกพลังจิต แล้วใช้พลังจิตขั้นสูงบรรลุธรรมที่สูงกว่าไปเรื่อยๆจนรู้แจ้งเห็นแจ้ง โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเป็นสรณะ ในที่สุดก็บรรลุธรรมขั้นสูงเป็นพระอรหันตสาวกได้เช่นกัน
ระหว่างนั้น พระองคุลีมาลก็ใช้วิธีร้องขออโหสิกรรมและให้อโหสิกรรมแก่ผู้ที่ตนเคยเกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมร่วมกันมาในทุกภพชาติ เพราะตนสามารถระลึกชาติได้แล้ว โดยใช้พลังบุญบารมีทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นพลังบวก แผ่เป็นพลังบารมีให้แก่ผู้เกี่ยวข้องที่สภาวะจิตยังติดลบอยู่เพราะตนเองเคยเป็นต้นเหตุจนครบถ้วนทุกรายทุกกรณี.... ในบั้นปลายอรหันต์องคุลีมาลจึงสามารถเข้าถึงนิพพานได้ด้วยประการฉะนี้แล.....
อย่างไรก็ตาม ผลของกรรมชั่วที่ยังคงค้างอยู่ ทำให้องคุลิมาลไม่ได้อาหาร เมื่อเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถีในเวลาเช้า ชาวบ้านต่างพากันตกใจเกรงกลัวหลบหนีไปหมด บางคนก็ว่านี่เป็นสมณะ ส่วนเพื่อนก็บอกว่านั่นคือองคุลิมาลปลอมตัวมา ไม่ว่าพระองคุลิมาลจะไปบิณฑบาตทางไหนแระชาชนต่างพากันหวาดเกรงหลบหนี บ้างก็เอาก้อนหินเอาเศษไม้ขว้างปาด้วยความโกรธ ไม่มีใครนำอาหารใส่บาตรแม้แต่คนเดียว ภิกษุที่ไปด้วยต้องพลอยอดอาหารไปด้วย ต่อมาพระพุทธเจ้าก็ทรงบอกแก่ญาติโยมที่มาเฝ้ากราบทูลเรื่ององคุลิมาลแก่พระองค์ให้ได้ทราบว่าบัดนี้องคุลิมาลเป็นบุตรของพระองค์แล้ว
วันหนึ่งเมื่อพระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พบหญิงท้องแก่ใกล้คลอดกำลังนอนร้องครวญครางอยู่ข้างทาง เมื่อมองเห็นพระองคุลิมาลก็ตกใจกลัว พระองคุลิมาลรู้สึกสงสารจึงกล่าวแก่หญิงท้องแก่นั้นว่า
“ดูกร น้องหญิง อย่ากลัวเลย เราไม่ทำอะไรหรอก” จากนั้นก็อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้แก่หญิงท้องแก่เพื่อให้คลอดบุตรง่าย ด้วยคาถา
“ดูกร น้องหญิง เพราะเหตุที่เราผู้เกิดใหม่แล้วโดยอริยชาติ เราไม่เคยจงใจที่จะปลงชีวิตมนุษย์และสัตว์ใด ๆ เลย ด้วยอำนาจแห่งสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่น้องหญิงและบุตรในครรภ์ของน้องหญิงเถิด”
เมื่อพระองคุลิมาลแผ่เมตตาให้แล้ว นางก็คลอดบุตรออกมาได้โดยง่าย เรื่องราวในครั้งนี้เป็นที่เลื่องลือในหมู่บ้าน ทำให้ผู้คนหันมานิยมนับถือพระองคุลิมาล
เรื่องวิบากกรรมขององคุลิมาลนั้น เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตใจของพระองคุลิมาลก็เป็นจิตที่อยู่เหนือกฎแห่งกรรม ปล่อยวางทั้งกุศลและอกุศล เป็นโลกุตตรจิต อย่างไรก็ตาม เมื่อยังมีร่างกายอยู่ในวัฏสงสารจึงยังได้รับผลของกรรมอยู่บ้าง เช่น ไม่ได้รับอาหารเมื่อออกบิณฑบาต บางครั้งถูกเอาก้อนหินขว้างปาทำให้บางทีถึงกับศีรษะแตกโลหิตไหลออกมาก็มี ถือเป็นเศษกรรมเพียงเล็กน้อย องคุลิมาลสร้างสมกุศลกรรมมาหลายภพหลายชาติ แม้กระทั่งชาติสุดท้ายก็เป็นศิษย์ที่ดีเลิศและด้วยปรารถนาจะเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ทำให้เชื่ออาจารย์และทำกรรมชั่วเพราะหลงผิด มิใช่ด้วยโทสะ จนใจที่สุดด้วยอานิสงส์ของกุศลกรรมที่สร้างสมมา ทำให้พบกับกัลยาณมิตรคือพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจึงเกิดดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงจิตที่บริสุทธิ์ได้จริง
อาจารย์เปรียบเทียบวิบากกรรมต่าง ๆ เหมือนลูกปืน วิบากกรรมต่าง ๆ ในอดีตที่มารบกวนทำให้มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิต คือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
วิบากกรรมเปรียบเหมือนลูกปืนที่บินมาจากอดีต มาโดนตัวเราทำให้เราบาดเจ็บ ทีนี้ถ้าเราปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ก็ช่วยให้วิบากกรรมนั้นอ่อนกำลังลงเรียกว่าผ่อนหนักเป็นเบาหรือเป็นอโหสิกรรมไปได้ สมมติว่าเมื่อเรารักษาศีลบริสุทธิ์ เราก็จะลอยตัวขึ้น 50 ซม. วิบากกรรมที่บินมาต่ำ ๆ ก็จะไม่โดนเรา เปรียบเหมือนเป็นอโหสิกรรม ชีวิตเราก็ดีขึ้น ทีนี้ถ้าเราเจริญเมตตาภาวนาจนโลภ โกรธ หลงลดน้อยลง จิตมีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์มากขึ้น ก็ลอยตัวเพิ่มขึ้นอีก 50 ซม. หมายความว่า วิบากกรรมที่อยู่ระหว่าง 100 ซม. ก็ไม่โดนเรา และที่สุดหากเราเจริญวิปัสสนา ละโลภ โกรธ หลง ชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์จนไม่มีอุปาทานยึดมั่นในขันธ์ 5 ก็ไม่มีตัวตน ไม่มีทุกข์ จิตก็เป็นโลกุตตระ อยู่เหนือกฎแห่งกรรม จิตก็พ้นทุกข์สิ้นเชิง แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัฏสงสารก็ต้องรับวิบากกรรมทางกายบ้างเป็นธรรมดา เหมือนเช่นองคุลิมาล