เรือเต่าผู้พิชิตฮิเดโยชิ
คาบสมุทรเกาหลีคือเป้าหมายแรกของแผนการรุกคืบสู่จีนแผ่นดินใหญ่ของฮิเดโยชิ ในช่วงเวลานั้น ดินแดนส่วนใหญ่ของคาบสมุทรเกาหลีอยู่ในการปกครองของราชวงศ์โชซอนซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองเกาหลี
หลังจากสงครามรวมแผ่นดินสิ้นสุดลง มีทหารกว่าครึ่งล้านที่ประจำการอยู่ในกองทัพ แม้ว่าฮิเดโยชิจะมีโองการให้ริบดาบและปลดเหล่าอะชิการุหรือทหารเกณฑ์ชาวนาจำนวนมากออกจากราชการ แต่ก็ยังคงมีกำลังพลซามูไรและอะชิการุเหลืออีกมากมายมหาศาล อีกทั้งในช่วงสงคราม ธุรกิจการผลิตอาวุธได้เติบโตขึ้นมาก จนกลายเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถ้ารัฐบาลสั่งปลดทหารทั้งหมดออกไป นอกจากจะทำให้ระบบเศรษฐกิจต้องชะงักแล้ว สิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ก็คือบรรดานักรบจำนวนมากว่างงาน อาจก่อความวุ่นวายจนสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลของโทโยโทมิได้ในวันหน้า ด้วยเหตุนี้ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิจึงตัดสินใจทำสงครามกับราชวงศ์หมิงที่ปกครองแผ่นดินจีนในเวลานั้น ซึ่งถ้ากองทัพญี่ปุ่นได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้ ก็จะทำให้ญี่ปุ่นได้ทั้งดินแดนและทรัพย์สมบัติมหาศาลจากจีนแผ่นดินใหญ่มาเสริมความเข้มแข็งของประเทศ หรือหากว่า เกิดเพลี่ยงพล้ำและสูญเสียกำลังพลจำนวนมากไปในสงคราม ก็จะช่วยลดจำนวนของเหล่านักรบ อันจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น
ในการทำสงครามกับจีนครั้งนี้ ฮิเดโยชิวางแผนจะยึดเกาหลีเป็นอันดับแรกเพื่อใช้เป็นที่มั่นในการทำสงครามต่อไป ทั้งนี้ ฮิเดโยชิได้ส่งสายลับจำนวนมากแทรกซึมเข้าไปในเกาหลี ซึ่งเหล่าสายลับได้รายงานให้เขาทราบว่า กองทัพโชซอนของเกาหลีนั้นมีสมรรถภาพในการบเทียบไม่ได้กับกองทัพญี่ปุ่น ทั้งในด้านของอาวุธและกำลังพล
อุปสรรคเดียวที่จะเป็นปัญหาต่อการยึดคาบสมุทรเกาหลี ก็คือ การที่จีนจะส่งทหารมาช่วย ทว่าฮิเดโยชิก็มั่นใจว่า กองทัพของตนจะยึดคาบสมุทรเกาหลีได้ทั้งหมดก่อนที่ฝ่ายจีนจะส่งทัพมาช่วยได้ทัน
ในฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.1592 โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ก็มีบัญชาให้กองทัพหน้าของญี่ปุ่นซึ่งมีกำลังพลหนึ่งแสนนายเคลื่อนพลทางเรือเข้าสู่ภาคใต้ของเกาหลีและขึ้นฝั่งที่เมืองปูซาน จากนั้นกองทัพหนุนก็ติดตามมาในเวลาไล่เลี่ยกันซึ่งแม้ว่า ฝ่ายเกาหลีจะระดมกำลังทหารมารับศึกอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจต้านทานกำลังทัพมหึมาของญี่ปุ่นได้ ทำให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถรุกไล่ขึ้นไปทางเหนือและยึดหัวเมืองสำคัญต่างๆได้หลายเมือง จนกระทั่งพระเจ้าซอนโจ กษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอนต้องเสด็จลี้ภัยไปยังจีน โดยทรงมอบภาระในการปกป้องประเทศให้กับแม่ทัพยีซุนซิน
ยีซุนซินเป็นนายทหารเรือที่ชาญฉลาดและมากด้วยประสบการณ์ เขารู้ดีว่า การจะเอาชนะญี่ปุ่นได้ จำเป็นต้องทำลายกองเรือของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน ทว่าลำพังกองทัพเรือที่เล็กกว่าของเกาหลีนั้น หากเข้าสู้กับกองเรือของญี่ปุ่นโดยตรงก็คงไม่พ้นถูกทำลายย่อยยับ
ดังนั้น เพื่อเอาชนะกองเรือของข้าศึก ยีซุนซินจึงคิดสร้างอาวุธชนิดพิเศษขึ้นมารับมือกับข้าศึก โดยอาวุธนี้ถูกเรียกว่า โคบุ๊กซอน หรือ เรือเต่า
สำหรับเรือเต่านี้ มีรูปร่างแบนค่อนข้างเทอะทะ ขับเคลื่อนด้วยกำลังฝีพาย ทุกด้านของลำเรือปิดไว้อย่างมิดชิด โผล่ก็แต่ปลายกระบอกปืนใหญ่เท่านั้น ขณะที่ดาดฟ้านั้นถูกคลุมด้วยแผ่นเหล็กและยังเต็มไปด้วยหนามแหลม เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกส่งทหารขึ้นมาบนเรือ
กลยุทธ์ของเรือเต่านอกจากจะโจมตีด้วยปืนใหญ่แล้ว ยังใช้การพุ่งเข้าชนเพื่อทำลายเรือรบฝ่ายข้าศึกอีกด้วย โดยมีการรบครั้งหนึ่งที่เรือเต่าสามารถทำลายเรือรบญี่ปุ่นได้ถึงห้าสิบลำในวันเดียว และด้วยเรือเต่านี้เอง ที่ทำให้ฝ่ายเกาหลีสามารถทำลายกองเรือฝ่ายญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก ทำให้เส้นทางการลำเลียงของญี่ปุ่นต้องประสบปัญหาจนไม่อาจสนับสนุนกองทหารที่ทำการรบอยู่ในคาบสมุทรได้
ในระหว่างนั้นเอง ทางราชวงศ์หมิงของจีนก็ได้ส่งกองทัพมาช่วยเกาหลีทำสงครามกับกองทัพญี่ปุ่น ทั้งนี้ฝ่ายจีนเล็งเห็นว่า การช่วยเกาหลีทำสงครามก็เท่ากับเป็นการสกัดไม่ให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถรุกเข้าสู่อาณาเขตของจีนด้วยเช่นกัน
การรบได้ดำเนินยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งถึง ปี ค.ศ. 1598 กองทัพญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้และล่าถอยออกไปจากคาบสมุทรเกาหลีจนหมดสิ้น ส่วนแม่ทัพยีซุนซินผู้เก่งกล้านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสในระหว่างทำการรบที่ช่องแคบนอยาง และเสียชีวิตลง ก่อนที่เกาหลีจะได้รับชัยชนะเพียงไม่กี่เดือน
แม้ว่าจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ ทันได้เห็นชัยชนะของแผ่นดินมาตุภูมิ แต่ยีซุนซินก็ได้รับการยกย่องจากประชาชนในฐานะวีรบุรุษของชาติ ผู้ปกป้องแผ่นดินจากการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งชัยชนะของเขาถูกบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในชัยชนะครั้งสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์เกาหลี และแน่นอนว่า สงครามครั้งนี้ ก็ได้จารึกชื่อของ โคบุ๊กซอน หรือ เรือเต่าไว้ในฐานะอาวุธอันยิ่งใหญ่ของกองทัพเกาหลีด้วยเช่นกัน