คนที่เล่นตุ๊กตา ผมเห็นแต่เด็ก และคนบ้า!
ภาพ รอยเตอร์
เดี่ยวนี้เป็นไปกันใหญ่แล้วคนเรา คนดีฯ ก็จะพากันเป็นบ้าไปหมด
บวชเป็นพระมีแต่วิชาเดียวที่ต้องเรียนและปฏิบัติตามนั้นก็คือวิชา "พระธรรมวินัย" ไม่ใช่ติรัจฉานวิชา เช่น ปลุกเสก เครื่องรางของขลัง พาผู้คนงมงาย พาผู้คนเห็นผิด และนี้ก็เป็นข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ด้วย ในเมื่อละเมิด ก็ย่อมเป็นอกุศลแก่ผู้นั้น
พากันสวดอยู่ว่า...
- พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง)
- ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง)
- สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง)
แต่ไม่เห็นทำตามที่ตนสวดเลย กับไปเอาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นที่พึ่งแทน เช่น ถือผี ถือเทวดา ถือเครื่องรางของขลัง ไม่เชื่อกรรม... นี่เป็นการไม่ทำตามที่ตนพูด ก็ย่อมเกิดอกุศลแก่ผู้นั้น
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อเรื่องกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
"สุภมาณพ โตเทยยบุตร พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความประณีต
มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิว
พรรณทราม มีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก มีโภคะน้อย มีโภคะ
มาก เกิดในสกุลต่ำ เกิดในสกุลสูง ไร้ปัญญา มีปัญญา ข้าแต่พระโคดม-
ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ไห้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่
ปรากฏความเลวและความประณีต
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาณพ สัตว์ทั้งหลายมี
กรรมเป็นของคน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็น
เผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึงอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้"
(เล่ม 23 หน้า 251)
แค่นี้ก็ควรจะเข้าใจกันได้แล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นนอกจากกรรม การที่ไปเห็นสิ่งอื่นว่าดี เช่น ตุ๊กตาลูกเทพ นี้เรียกว่า "ถือมงคลตื่นข่าว ถือลักษณะ
ดีหรือชั่ว ไม่เชื่อกรรม งมงาย เห็นผิด" อุบาสกใดเป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว ถือลักษณะดีหรือชั่ว ไม่เชื่อกรรม พระพุธเจ้าเรียกผู้นั่นว่าเป็นอุบาสกที่เศร้าหมองและน่าเกลียด
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม ๕ ประการ
เป็นไฉน ? คือ อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ เป็นผู้ทุศีล ๑ เป็นผู้ถือมงคล
ตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม ๑ แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ ทำการ
สนับสนุนในศาสนานั้น ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม
๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด"
(เล่ม 36 หน้า 373)
และโทษของการงมงาย เห็นผิดนั้น เป็นโทษที่หนักที่สุด หนักกว่าอนันตริยกรรม
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราไม่เล็งเห็น
ธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่งซึ่งจะมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายโทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง"
(เล่ม 33 หน้า 191)
โทษของการงมงาย เห็นผิดนั้น ไม่เหมือนโทษอื่นฯมีอนันตริยกรรมเป็นต้น เพราะโทษเหล่านั้น เป็นโทษที่ส่งผลมีเวลาจำกัด ใช้กรรมหมดแล้วก็พ้นโทษ ไม่เหมือนโทษของการงมงาย เห็นผิด ถ้าใครมี จะส่งผล "ตลอดกาลนาน" เพราะฉะนั้น โทษของการงมงาย เห็นผิดนั้นจึ่งเป็นโทษ
ที่หนักที่สุด ถ้าใครยังงมงาย ยังเห็นผิดอยู่ ย่อมไม่ล่วงพ้นทุกข์ไปได้
"ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกา
บาต ไม่ถือความฝันไม่ถือลักษณะ
ดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษ
แห่งการถือมงคลตื่นข่าวครอบงำ
กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ที่เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก"
(เล่ม 56 หน้า 303)