เผยเบื้องหลังที่โลกไม่รู้ ประธานาธิบดี วลาดีเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เคยเป็น สายลับแฝงตัวในเยอรมนีมาก่อน

ในส่วนหนึ่งของหนังสือ “ปูตินสายลับแห่งเครมลิน” (Mr.Putin: Operative in the Kremlin) ที่ฟิโอน่า ฮิลล์และ คลิฟฟอร์ด แกดดี้อธิบายว่าประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูตินน่าจะเป็นสายลับเคจีบีที่เคยทำงานในเมือง “เดรสเดิน”

เมืองเดรสเดินนับเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของสาธารณรัฐประชาธิปไตย เยอรมนี ( GDR: German Democratic Republic ) เป็นที่ที่มีประชากรจำนวน 500,000 คน และเป็นที่ที่มีคลองน้ำนิ่งที่ดูไม่ค่อยสำคัญอะไร ปูติน เคยทำงานที่นั่นเป็นประจำ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเขาไม่ได้สำคัญ หรือแม้แต่ประสบความสำเร็จอะไรมากนัก ไม่มีใครเห็นแววในตัวชายผู้นี้ว่าเค้าจะได้ขึ้นเป็นผู้นำจอมแสบแห่งรัสเซีย ในอีกหลายปีต่อมา ไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการว่าปูตินเคยทำอะไรตอนอยู่ที่เดรสเดิน

และเขาเองก็ไม่เคยพูดถึงมันเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานเป็นรูปธรรมว่าใครเป็นหัวหน้างานในหน่วยลับเคจีบีที่ เขาทำงานให้ก็ตาม มีบางคนว่าเขาเคยทำงานอยู่ที่นั่น ทำงานลับที่ชื่อว่า “ปฏิบัติการลุค” (หรือปฏิบัติการแผ่รังสี) ซึ่งจารกรรมข้อมูลคลามลับทางเทคโนโลยีไปทั่วโลก และอีกคนเล่าว่าตอนที่ปูตินยังปฏิบัติงานลับให้กับปฏิบัติการณ์นี้ ภารกิจที่ทำไม่ใช่การจารกรรมข้อมูลลับเลย ภารกิจลับนี้ต้องการคนใหม่ๆซึ่งเป็นคนระดับแนวหน้าอย่างเป็นทางการของ พรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันตะวันออก และรวมถึงตำรวจลับอย่าง สตาซี (Stasi) เป้าหมายคือการคุ้มกันการสนับสนุนให้กับนักปฏิวัติหรือที่เรียกว่า พิริสตรอยก้า สายผู้นำโซเวียตในมอสโกวที่เป็นปฏิปักษ์กับโฮเน็คเกอร์ และสายที่เขาเข้าร่วมสายผู้นำเยอรมันตะวันออก

"ภาพปูตินขณะเป็นสายลับ KGB "

มีบุคคลที่สามพูดเพิ่มเติมอีกว่านั่นเป็นเป้าหมายของเคจีบีที่ต้องการ เกณฑ์คนเข้าร่วมกับเยอรมันตะวันออกที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศในตะวันตก บางส่วนของเรื่องได้กล่าวไว้ว่าตัวปูตินเองก็เคยได้ไปปฏิบัติงานลับที่ เยอรมันตะวันตกด้วยเช่นกัน และที่น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดคือการที่ปูตินได้มีส่วนร่วมในบางการ เคลื่อนไหวหรือการเคลื่อนไหวทั้งหมด ซึ่งโดยแท้จริงทั้งหมดนั้นก็อาจจะเชื่อได้ยากว่าเขาไม่ได้ทำเลย

หน่วยเคจีบีนั้นทำหน้าที่จารกรรมข้อมูลลับทางเทคโนโลยีทุกๆที่ได้มากเท่า ที่จะหาได้ และถ้ามีข้อมูลบางอย่างถูกขโมยออกไปจากเดรสเดินล่ะก็ ข้อมูลที่เหลืออยู่ก็ยืนยันได้ว่าปูตินและพรรคพวกที่ทำงานด้วยกันกับเขาจะ ต้องมีส่วนร่วมกับกรณีนี้แน่นอน ในกรณีการหลอกล่อคนให้มาติดกับ การเจรจาประนีประนอม และการเกณฑ์ชาวตะวันตกมาเข้าร่วม หรือการติดต่อกับคนที่อยู่ในประเทศตะวันตกล้วนแล้วแต่เป็นงานของเคจบีทั้งสิ้น

แต่แม้ปูตินจะดูเหมือนอยู่ในดินแดนที่แสนห่างไกลจากการเมืองสหภาพโซเวียต ในช่วงครึ่งที่สองของช่วงทศวรรษ(ตั้งแต่ปี1980-1989) แต่เขาไม่เคยเป็นคนนอกสำหรับเหตุการณ์ต่างๆทางการเมือง หรือเหตุการณ์ของโลกเลย เมื่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันนีกำลังจะทิ้งระเบิด เมืองเดรสเดินคือหนึ่งในศูนย์ที่ตั้งฐานของพวกต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ เยอรมันตะวันออกไปจนถึงการปกครองระบอบโฮเน็คเกอร์ที่ถอยหลังเข้าคลองไปแล้ว ซึ่งนำโดยนายฮานส์ โมโดรวที่เป็นผู้นำทางการเมืองในเดรสเดิน

เมื่อเจอกับความวุ่นวายนี้ หน่วยงานเคจีบีที่ปูตินทำก็กลับมาทำงานคู่กับ USSR (สหภาพโซเวียต) ซึ่งดูเหมือนจะไม่สนใจความเป็นไปในเยอรมันตะวันออกเลย แต่ปูตินกลับสวนทางความคิด เขาเริ่มฉายแววที่แตกต่าง และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางการเมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันตะวัน ออก ตอนช่วงปี1980-1989 มันเป็นงานที่ยากและโหดหิน

ศักยภาพที่แฝงอยู่ในชายผู้นี้ยังเฉิดฉาย เพราะที่นั่นปูตินมีความใกล้ชิดกับแหล่งข่าวใต้ดินพอสมควร ถึงขั้นรู้การเคลื่อนไหวของผู้ต่อต้านในเยอรมันตะวันออกซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม มาตั้งแต่แรก เช่นเดียวกับที่เอนโดรโพฟได้สังเกตเห็นตลอดจากผู้ต่อต้านชาวฮังกาเรียนใน ช่วงกลางทศวรรษของช่วงปี1950 ตลอดจนการเขียนจดหมายไปบูดาเปสต์ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีก็มีจุดที่ได้เปรียบยิ่งกว่าของการทูตของโซเวียต

นอกจากนี้ปูตินเคยเป็นเสาโทเท็ม(เสาแกะสลัก) ของเคจีบี แม้เขาจะดูเหมือนตกต่ำขณะอยู่ในเดรสเดิน ซึ่งส่วนหนึ่งในงานของเขาคือการตรวจดูในจอมอนิเตอร์ และพยายามเข้าใจกลุ่มต่อต้าน หาแรงจูงใจของพวกเขารวมทั้งหาจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา แต่ในดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนว่าปูตินจะได้เรียนรู้

บทเรียนสำคัญมากมาย เขาเริ่มมาจากการเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก สู่การมีเส้นสายมากมาย ซึ่งนั่นเป็นดั่งกุญแจสำคัญ ที่ผลักดันให้ท่านผู้นำรัสเซียคนนี้มีฝีมือฉกาจกว่าใคร และยังมีความลับที่เก็บงำไว้อีกมากมาย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้หมีขาวไม่แปลกใจเลยที่ว่า ทำไม ‘ปูติน’ จึงเป็นหนึ่งในผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก

ปูตินปลอมเป็นนักท่องเที่ยว (คนสะพายกล้อง ที่ลูกศรชี้) ปะป่นอยู่กับ ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งสหรัฐฯ ขณะเยือนมอสโก