6 สุดยอดคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายที่เกิดขึ้นจริงของโลก (Locked room mystery)
รหัสคดีห้องปิดตาย(Locked room mystery)เป็นแขนงหนึ่ง หรือประเภทย่อย ของวรรณกรรมตระกูลรหัสคดี โดยเนื้อหาส่วนใหญ่
จะเน้นทริคประเภท ฆาตกรไม่มีทางเข้า-ออกหนีจากห้องอันเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมได้เลยโดยส่วนมากการเกิดคดีอาชญากรรม
จะเกิดขึ้นในห้องห้องหนึ่ง หน้าต่างและประตูของห้องนั้นถูกปิดจากข้างในหมดทุกบาน-ทุกช่องทาง
หรือไม่ก็อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังโดยไม่ให้คลาดสายตาของพยาน ทว่าอาชญากรสามารถเข้าไปในห้องเพื่อ ประกอบอาชญากรรม
แล้วเล็ดลอดออกมาได้อย่างลอยนวล เรามักเห็นคดีพวกนี้ในห้องปิดตายบ่อยๆ ใช่เปล่าละเพราะมันปรากฏในหนังสือการ์ตูนนักสืบนี้น่า อย่างคินดะ,โคนัน ก็เอามาออก หลายคนอาจหัวเราะว่าคดีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นจริง เพราะจะฆ่าคนแต่ละทีมันต้องยิ่งยากขนาดนี้เหรอ
ก็ขอตอบว่ามีจริง!!
มีคดีเหล่านี้เกิดขึ้นจริงบนโลกเขาแล้ว แม้จะเกิดไม่ค่อยมาก แต่มันก็สร้างความพิศวงน่ากลัวและลึกลับต่อเราเสมอ
และนี้คือตัวอย่าง 6 คดีฆาตกรรมในห้องปิดตายที่เกิดขึ้นจริงบนโลกแห่งความจริงครับ มีอะไรบ้าง เชิญติดตาม....
อันดับ 6 ผีย้ายโลง (ไม่ใช่คดีฆาตกรรม)
อัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ(Alfred Russel Wallace) บรรยายถึงเหตุการที่เกิดขึ้นที่บัลทิคในปี 1844 ว่าเกิดความไม่สงบและประหลาด
ในสุสานอาเรนสบวร์กที่เกาะเบาร์บาดอสฝั่งตะวันออกของทะเลแคริบเบียน ของตระกูลเซล จู่ๆ โลงศพถูกย้ายล้มคว่ำในห้องใต้ดินที่ถูกล็อก
ปิดตายในโบสถ์คริสต์ เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าศพถูกสลับที่สลับทาง
และล้มพลิกคว่ำอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่และศพนั้นหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายไปได้ นอกจากนี้ห้องยังล็อกแน่นหนา
บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน และเหล่าม้าและสัตว์เลี้ยงต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้สถานที่เก็บศพนั้น
มีหลายทฤษฎีเหมือนกันถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง)
บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไขไม่ออกในปัจจุบัน
อันดับ 5 คดี โรส แดรกคูล
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีศตวรรษที่ 19 ที่ฝรั่งเศส คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงและยังเป็นคดีปริศนาที่แก้ไขไม่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ สถานที่เกิดคดี
เป็นชั้นบนสุดของอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ มองมาร์ตัลในกรุงปารีส หญิงสาวชื่อโรส แดรกคูลพักอยู่ในห้องที่สูง20เมตร นอนไม่ตื่นจนถึงเที่ยง
ผู้ดูแลมาเคาะประตูดูก็ไม่มีเสียงตอบ ตำรวจจึงพังประตูเข้าไปในห้อง โรสยังนอนอยู่บนเตียงถูกแทงที่หน้าอกตาย อาวุธคือ มีดที่แทงนั้น
ยังปักคาทะลุไปข้างหลังราวกับว่าถูกแทงจนสุดกำลัง หน้าต่างห้องล็อคจากด้านในและลงกลอนอยู่ ประตูลงกลอนและล้อคกุญแจ
ตำรวจตรวจเช็คทั้งห้องโดยละเอียดแล้วไม่มีห้องลับทั้งที่พื้นและเพดาน!มีทางเดียงที่จะเข้าออกได้คือทางท่อระบายอากาศ
แต่ท่อนั้นก็แคบเกินกว่าที่คนจะเข้าออกได้ เป็นคดีที่แปลกมาก คนที่จะเข้า-ออกได้คงกลายเป็นควันเข้ามา!หรือไม่ก็เป็นตัวหนอนหดตัวออกไป
ไม่มีของถูกขโมยนอกจากนี้หลังจากตรวจสอบแล้วไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนไหนเกลียด ชังผู้ตายเลย
คดีนี้ถูกนำไปเขียนลงในนิตยสาร Stange และกลายเป็นข่าวลือของคนไปทั่วและคดีนี้ก็เป็นต้นแบบ
ที่มีอิทธิพลต่อนัก เขียนนิยายปริศนาในเวลาต่อมา
อันดับ 4 ร่องรอยรูใหม่(The Clue of the New Pin)
ในสมัยปี ค.ศ.1880 เกิดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายขึ้น เมื่อมีการพบศพ ภรรยาของแฮร์ คอนราด(Herr Konrad) พ่อค้าในเมืองเบอร์ลิน
และลูกของเขาถูกฆ่าในห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน ในห้องปิดตายที่มีประตูห้องที่ทั้งหนักทั้งแข็งแกร่งและไม่มีรูกุญแจ ไม่มีช่องว่างใดๆ
ให้รอดผ่านเลย หรือแม้กระทั้งกระดาษก็ไม่สามรถลอดผ่านได้ และในที่เกิดเหตุนั้นมีการใส่กลอนล็อกจากด้านในอย่างแน่นหนา
แน่นอนเมื่อมีการสังหารสมาชิกในครอบครัวเกิดขึ้นคนสงสัยก็คือแฮร์ คอนราดนั้นแหละ แต่เขาทำอย่างไรที่สามารถฆ่าภรรยาและลูกๆ
ของเขาได้ไงทั้งๆ ที่ห้องที่ล็อกจากด้านใน
จากการตรวจสอบห้องปิดตายพบว่า ที่ประตูมีรูที่เล็กมากๆ ปรากฏเหนือสลักเกลียวบนประตู(เล็กขนาดต้องใช้เลนส์ประสิทธิภาพสูงส่อง)
รูนั้นแสดงให้เห็นว่ามันถูกเจาะขึ้นมาใหม่โดยใช้ความร้อนในการเจาะ ซึ่งคนเจาะก็คือฆาตกรแน่นอน แล้วมันเจาะเพื่ออะไรละ ก็เจาะเพื่อ
สามาถสอดขนม้าหรือเยื่อบางๆ ผ่านเข้าไปและเพื่อใช้ทริคลงสลักกลอนให้ล็อกภายในทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ข้างนอกได้ไงละ คอนราดถูก
ดำเนินคดีต่อมา
เขาบอกว่าเขาเอาทริคคดีนี้จากนวนิยายลึกลับเรื่องหนึ่ง
(จะว่าไปฆาตกรรมก็สุดยอดแล้วนะเนี่ย แต่คนไขคดีสุดยอดกว่า)
อันดับ 3 คดีลอบปลงพระชนม์ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย
(Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)
(ปล.ผมไม่เก่งราชาศัพท์ครับ คำธรรมดาไหนควรเป็นราชาศัพท์ก็ขออภัยด้วยนะครับ)
วันที่ 10 กันยายน 1898 ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)กำลังทรงประทับอยู่
ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้น พระองค์กำลังทรงพักผ่อนแปรพระราชฐาน พร้อมด้วยนางกำลังคนสนิทบริเวณ
ทะเลสาป จู่ๆ ไม่มีสิ่งใดเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น เค้านท์เตสสตาร์เรย์ ได้ทรงถูก ฆาตกรรมโดยนักอนาธิปไตยนิยมชื่อ ลุยกิ ลูเชนี(Luigi Lucheni)
แต่แทนที่จะกลายเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา กลับกลายเป็นคดีฆาตกรรมห้องปิดตายอย่างไม่น่าเชื่อ ฆาตกรทำทริคแบบนี้ได้ยังไง?
คำตอบคือฆาตกรไม่ได้ทำทริคสักอย่าง ฆาตกรเพียงใช้มีดแทงกลางพระหทัย(หัวใจ)เค้านท์เตสสตาร์เรย์เท่านั้น แต่แผลนั้นไม่ได้
ทำให้พระองค์เสียชีวิตทันที ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น
พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่า
พระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน
จนกลายเป็นห้องปิดตายสมบูรณ์แบบในที่สุด
ซึ่งต้องกว่าจะไขคดีนี้ได้ก็นานพอดู และส่งผลให้ลูเชนีถูกนำตัวขึ้นศาล เขากล่าวว่าจะปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ราชวงศ์
ออลีญงส์ของฝรั่งเศสเท่านั้น โดยเขาคิดว่าพระองค์คือพระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้น เขาพูดว่า
"I wanted to kill a royal. It did not matter which one."
(ฉันอยากฆ่าราชวงศ์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) และคดีนี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจแก่
Gaston Leroux's แต่งนิยายเรื่องความลี้ลับของห้องสีเหลือง
(The Mystery of the Yellow Room)
อันดับ 2 คดีความลึกลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้(insoluble mystery)
คดีนี้อยู่ในรายงาน The New York Times เมื่อวันที่ 10 และ 11 มีนาคม 1929
วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 9 มีนาคม 1929 นางล็อกแลนด์ สมิธไ ด้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนและเสียงหวด(ไม่มีเสียงปืน)จากร้านซักแห้ง
บ้านเลขที่ 5 ของมหานครนิวยอร์ก( Fink,of 4 ทิศตะวันออก ถนน 132nd) เธอได้แจ้งตำรวจให้ไปค้นหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนั้น
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงสถานที่อันเป็นที่มาของเสียงนั้น ปรากฏว่า ประตูร้านนั้นปิดตายอย่างแน่นหนาจากด้านใน ยกเว้นหน้าต่าง
บานเล็กบานหนึ่งที่อยู่เหนือประตูบานใหญ่นั้น(ที่มีไว้ให้หมาแมวหรือจดหมายลอดนั้นแหละ) ซึ่งขนาดของประตูพอที่จะให้เด็กเล็กๆ
ลอดตัวเข้าไปได้เท่านั้น
ดังนั้นตำรวจจึงส่งเด็กเล็กๆ เข้าไปเปิดประตู และเมื่อสำรวจภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ก็พบนายไอสิดอร์ ฟิงก์(Isidore Fink)นอนตาย
อยู่บนพื้นห้อง ในสภาพที่ถูกยิงบริเวณหน้าอก 2 นัด และอีกหนึ่งนัดทะลุฝ่ามือซ้ายของเขา และมีกระเป๋าเงินพร้อมเงินสดจำนวน
มากยังอยู่ในกระเป๋า
ที่น่าประหลาดใจคือฟิงก์ถูกฆ่าโดยฝีมือใคร และฆาตกรหลบหนีออกไปจากสถานที่ทางด้านไหน เพราะเท่าที่ตรวจสอบจนทั่วบริเวณ
แล้วก็ไม่พบว่ามีทางออกทางไหนอีก ยกเว้นแต่ละจุดที่เด็กเล็กๆ ลอดเข้าไปเพื่อเปิดประตู เพราะประตูล็อกจากด้านใน
และเมื่อตรวจสอบวิถีกระสุนปืนก็พบว่า ฆาตกรจ่อยิงนายฟิงก์ในระยะเผาขน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าฆาตกรจะยิงนายฟิงก์จากด้านนอกร้าน
ซึ่งท้ายสุดคดีนี้ตำรวจก็ไม่สามารถไขได้ จนขนานนามคดีนี้ว่า " insoluble mystery"
และมันก็ถูกนำมาแต่งนิยายในชื่อ
"The Mystery of the Fabulous Laundry man."
อันดับ 1 คดีฆาตกรรมบนรถไฟ(Murder in the Metro)
16 พฤษภาคม 1937 มีคนไปพบ เลติเชีย ตูโรซ์(Laetitia Toureaux) [/size][/color]หญิงสาวผู้รักการเต้นรำอายุ 29 ปี ถูกแทงตายด้วย
กริซยาวกว่า 9 นิ้วที่คอและนอนตายในห้องว่างเปล่าของตู้ขบวนโบกี้แรก 1 st ของรถไฟใต้ดิน ซึ่งรถไฟขบวนนี้ถูกปล่อยออกจาก
สถานีปลายทาง Porte de Charenton ในเมืองปารีส เมื่อเวลา 6:27 p.m. และรถไฟขบวนนี้กำลังจะไปลงต่อที่
สถานี Porte Dorée ในเวลา 6:28 p.m. เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นพยานสองคนคือเจ้าหน้าที่สถานีสาบานว่า
เขาไม่เห็นใครใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากผู้ตายคนเดียวที่ขึ้นโบกี้แรก และพยานอีกสองที่อยู่ใกล้ทางเข้า-ออกประตูทางเชื่อมโบกี้นี้
ก็สาบานว่าไม่มีใครพยายามเข้า-ออกประตูที่เชื่อมโบกี้แรกนี้เลยสักคน จนกระทั้งมีคนพบศพตูโรซ์หลังจากนั้น
ซึ่งจากรูปคดีนี่เป็นการฆาตกรรมไม่ใช้การฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ปัญหาคือฆาตกรสามารถฆ่าเธอได้ไงทั้งๆ ที่มีเวลา
ลงมือเพียงหนึ่งนาทีกับอีกยี่สิบวินาทีเท่านั้น(บางที่ก็บอกไม่ถึงนาที)ในการสังหาร และสุดท้ายฆาตกรสามารถเข้า-ออกจากโบกี้
ที่ผู้ตายอยู่ได้ไงโดยไม่เห็นพยานทั้งหลายเห็น(ถ้าฆาตกรเป็นพนักงานรถไฟจะต้องมีเลือดกระเด็นติดตัวพวกเขาสิ แต่นี้ไม่มี)
ผลสุดท้ายบทสรุปกว่า 800 หน้าของคดีนี้กลายเป็นไร้ประโยชน์ พยานกว่า 800 รายก็ว่างเปล่า และผู้ต้องสงสัยกว่า 71ราย
ก็ไม่มีใครน่าสงสัย และจนบัดนี้คดีปริศนาที่ไม่มีใครไขคดีนี้สักคน และกลายเป็นสุดยอดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายของโลก(ในความคิดของผม)
เพราะคดีสามารถสร้างเรื่องอัศจรรย์ภายใน 1 นาทีได้ยิ่งกว่าต้มมาม่าเสียอีก