คำสาปแค้นของอีกา กาเรเวน(Raven)
โพสท์โดย ไก่อ้วน
กาเป็นสัตว์ที่ฉลาด สีขนมันดำราวกับรัตติกาลบวกกับแววตาแวววาวดูลึกลับและเจ้าเล่ห์ บางคนเชื่อว่า
มันเป็นสัญลักษณ์ของยมทูต มันเป็นสัญลักษณ์ของความตาย มันมีอำนาจชั่วร้ายแฝงกาย
ยิ่งเป็นกาเรเวน (Raven) ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
เรื่องราวคำสาปของอีกานั้นมีเรื่องเล่าอยู่เกือบทั่วโลก ในกรณีใหญ่และโด่งดังที่สุดคงจะไม่เกินไปกว่าราชวงศ์แฮปสเบิร์กส์ของออสเตรีย
ที่รับเคราะห์กรรมเพราะกามาแล้ว
มันเริ่มต้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11 ในตอนนั้นเคานต์แห่งอัลเตนเบิร์ก(Count v on Altenbourg)หรือชื่อจริงว่ากอนทราน-เลอ-ริซี่
(Gontran-le-Riche) ปกครองดินแดนเล็กๆ ใกล้กับบริเวณแม่น้ำอาร์กับแม่น้ำไรน์บรรจบกัน วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์ในป่า แต่ตัวเอง
กลับถูกฝูงนกแร้งไล่ล่าจนได้รับอันตรายจนเกือบถึงชีวิต หากแต่มีฝูงนกกาเรเวนมาขัดขวางเอาไว้เขาจึงได้รอด ท่านเคานต์เป็นหนี้บุญคุณ
ของกา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาได้เลี้ยงดูและปกป้องกา และได้สร้างหอคอยสังเกตการณ์ขึ้นบนเนินสูงที่ยื่นออกไปริมแม่น้ำ ตั้งชื่อว่า
ฮาบิชต์สเบิร์ก(Habichtsburg) แปลว่าปราสาทนกแร้ง และชื่อนี้ได้กลายเป็นชื่อราชวงศ์ที่ท่านเคานต์สถาปราขึ้น คือราชวงศ์แฮปสเบิร์ก
ในตอนแรกๆ สมาชิกราชวงศ์นี้ดูจะมีเป็นมิตรกับกาดี ปล่อยให้กาเรเวนสร้างรังทุกหนทุกแห่ง แต่ร้อยปีหลังจากนั้นที่กอนทรานสิ้นลม
มิตรภาพราชวงศ์กับกาเรเวนก็มีอันสิ้นสุดลงตามไปด้วย อาร์คแอ็บบอต แวร์เนอร์ และรัดบอต อนุชาเป็นผู้ทะเยอทะยานได้เสริมสร้าง
หอคอยให้กลายเป็นปราสาทใหญ่มีเชิงเทินหอรบเพียบพร้อมเรียงรายไปตามเนินเขา และตั้งชื่อใหม่ว่า ชลอสส์ แฮปสเบิร์ก(Schloss Hapsburg)
ส่วนพวกกาถูกขับไล่ไสส่ง ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอีกต่อไป เมื่อการู้สึกว่าพวกตนถูกละเมิดข้อตกลงจึงเริ่มหันมาทำร้ายผู้ที่อยู่ปราสาท
และพวกแฮปสเบิร์กก็ตอบโต้ด้วยการเข่นฆ่ากาบ้าง จนกาเป็นฝ่ายแพ้ ชนิดที่เรียกว่าสองศตวรรษต่อมาไม่ปรากฏกาเรเวนเหลืออยู่ที่ชลอสส์
แฮปสเบิร์กอีกเลย เพราะพวกเขาฆ่าพวกมันจนหมดสิ้น
แม้พวกแฮปสเบิร์กจะฆ่ากาหมดแล้วก็ตาม แต่มันตายแค่ตัว ส่วนวิญญาณนั้นไม่ได้ตายตาม ว่ากันว่าวิญญาณของกายังคงสิงอยู่ที่ปราสาทชลอสส์
แฮปสเบิร์กแห่งนั้น และทุกครั้งที่ออสเตเลียเข้าสงครามอีกาจะปรากฏตัวแทบทุกครั้งและนั้นหมายความว่าฝ่ายออสเจเลยต้องประสบความพ่ายแพ้
นอกจากกาแล้วยังมีสุภาพสตรีในชุดขาว ที่ไม่มีใครทราบว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อนางปรากฏกายจะเกิดเหตุร้ายกับราชวงศ์ เหมือนเธอมาเตือน
ให้รู้ตัวล่วงหน้า ให้ทราบว่าไม่มีทางหนีซะตากรรมของตนได้
คำสาปเริ่มต้นเมื่อปี 1854 ตอนนั้นจักรวรรดิออสเตเลียอันเก่าแก่ใกล้จะจุดจบ วันหนึ่งรถม้าและกองทหารเกียรติยศได้เดินทาง
ไปตามถนนจากเมืองมิวนิคมุ่งไปยังเมืองอัชเชิล บนรถม้านั้นมีสุภาพสตรีสามนาง หนึ่งในจำนวนนั้นมี อาร์ชดัชเชล ลูโดวิกา(Archduchess Ludovica)
พระชนิษฐาของกศัตริย์ลุดวิกแห่งบาวาเรีย กับพระธาอีกสององค์ องค์โตคือ เจ้าหญิงเฮลีน(Helene)ผู้ซึ่งกำลังเดินทางจะไปเข้าพิธีอภิเษกสมรส
กับจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ แห่งออสเตรีย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ พระธิดาองค์รองคือ เจ้าหญิงเอลิซเบธ หรือซีซี่ อาร์ชดัชเชสได้ที่
ทราบว่ากาได้ไปปรากฏตัวที่ป้อมออลมุตซ์ พระนางก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ปรากฏตัวที่อัชเชิล
เจ้าหญิงเฮลีนมิได้ทรงปรารถนาจะเป็นจักรพรรดินีแห่งออสเตรีย ดังนั้นพระองค์จึงตรัสพ้อพระมารดาตลอดทาง แต่พระนางลูโดวิกาก็มิได้สนพระทัยว่า
พระธิดาจะปรารถนาหรือไม่ ตราบใดที่ทำตามที่พระนางบอกเป็นใช้ได้ ความจริงเรื่องอภิเษกสมรสครั้งนี้พระนางลูโดวิกามิได้เป็นคนต้นคิด หากเป็น
พระประสงค์ของอาร์ชดัชเชสโซเฟีย สมเด็กป้าของฟรานซ์ โจเซฟ ที่จะดึงแคว้นบาวาเรียเข้ามาช่วยพยุงฐานะของออสเตรีย เพราะใครๆ ก็รู้ว่าใน
ตอนนั้น จักรรดิออสโตร-ฮังการีกำลังแย่ สงครามนโปเลียนที่ผ่านมาทำเอาออสเตรียแทบล้มละลาย
ตรงกันข้ามกับเฮลีนที่กำลังโศกเศร้า ซีซี่ร่าเริงสนุกสนาน ทำให้พระนางลูโดวิกาต้องมองด้วยความสงสัยแล้วพอถึงอัชเชิลความคลางแคลงของ
พระนางก็กลายเป็นจริง ในเมื่อจักรพรรดิหนุ่มทรงเลือกซีซี่เป็นคู่อภิเษก ซึ่งเรื่องนี้สร้างความโกรธกริ้วให้กับอาร์ชดัชเชสโซเฟียเป็นอย่างมาก
แต่พระนางก็มิอาจทำอะไรได้ งานอภิเษกมีขึ้นที่โบสถ์เซ็นต์ออกัสตินในกรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1854
และบัดนี้ซีซี่ได้กลายเป็นจักรพรรดินีเอลิซเบธแห่งออสเตเรีย จักรพรรดิที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปในขณะนั้นไปแล้ว แต่อาร์ชดัชเชสโซเฟียก็จ้องทำลายชีวิตสมรสของจักรพรรดินีลงให้จงได้ พอซีซี่ประสูติพระโอรส พระนางโซเฟียก็แยกพระโอรสออกมาจากซีซี่ โดยอ้างว่าเพื่อจะเลี้ยงดูให้เหมาะสม พระนางจัดหาสาวชาววังที่สวยๆ มาคอยอยู่งานอภิบาลเด็กโดยหวังใช้สาวๆ เหล่านั้นดึงความสนพระทัยจากจักรพรรดิหนุ่มให้มาเสียจากซีซี่ ซึ่งก็ได้ผล ในไม่ช้าซีซี่ต้องรู้สึกทนทุกข์ทรมานถูกโดดเดี่ยว เพื่อคนเดียวที่พระองค์มีคือพระสนองพระโอษฐ์ชื่อ มาร์เกริต คัน ไลฟ์-โอเวน
ในตอนนั้นก็มีข่าวลือในหมู่ชาววังว่าทั้งกาและสตรีในชุดขาวได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็น เพื่อหนีจากเรื่องซุบซิบและว้าเหว่ พระนางซีซี่ก็เลยหาเรื่อง
เสด็จประพาสประเทศต่างๆ ไปเรื่อยๆ มาร์เกริตเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่ประพาสแคว้นบริตตาเนีย องค์จักรพรรดินีถูกเรียกให้กลับกรุงเวียนนาด่วน
ทิ้งมาร์เกริตให้อยู่บริตตาเนียต่อจนจบกำหนดการ
บ่ายวันหนึ่งขณะที่มาร์เกริตกำลังขี่ม้าเล่นอยู่แถวแหลมกีเบอรอน เธอได้เหลือบเห็นสตรีในชุดขาวกำลังยืนเซไปมาอยู่บนเงื้อมผา เธอดึงม้าให้หยุด
จนมันหงกหลัง พอเธอตั้งหลักได้อีกหน หันกลับไปดูที่เดิมก็ไม่เห็นสตรีนั้นเสียแล้ว
คืนนั้น เธอเข้านอนดึกกว่าปกติ เพราะงานเต้นรำคฤหาสน์ เธอนอนได้ไม่นานก็ต้องตื่นขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ตอนแรกคิดว่าเป้นเสียงตีของนาฬิกา แต่แล้วเสียงฝีก้าวเดนอย่างเร็วๆ แสงจันทร์ที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามาสว่างพอให้เธอมองเห็นร่างในชุดขาวเหมือนอย่างที่เธอเห็นเมื่อตอนบ่าย เพียงแต่ชัดกว่าสตรีนั้นชี้ให้ดูที่หน้าอก ซึ่งเธอมองเห็นโลหิตหลายหยดไหลออกมาจากบาดแผลรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ เธอนึกถึงจักรพรรดินีทันที
มาร์เกริตรีบโทรเลขถึงจักรพรรดินีโดยด่วน และก็ได้รับโทรเลขตอบว่าพระนางสบายดี ระหว่างหลายปีมานี้พระนางก็ได้เห็นกาและสตรีในชุดขาวบ่อยๆ
ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายต่อจักพรรดินี เหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับเจ้าชายรูดอล์ฟมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย พระราชโอรส ในคืนวันที่ 30 มกราคม 1898
มงกุฏราชกุมารรูดอล์ฟ ได้เสด็จไปพบศาน์เตสมาเรีย เวตเซรา คนรักของพระองค์ที่ตำหนักล่าสัตว์ในป่าเมเยอลิ่ง ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าไม่มีโอกาสอภิเษกกัน
เพราะฝ่ายหญิงแม้จะเคาน์เตสแต่ก็เป็นสามัญชน ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าทางออกมีทางเดียวเท่านั้นคือ การฆ่าตัวตาย
และไม่กี่ชั่วโมงต่อมานานาชาติก็ตกตะลึงเมื่อทราบข่าวว่าพระมกุฎราชกุมารรูดอลฟ์
ใช้พระแสงปืนยิงมาเรียและยิงพระองค์ตายตาม
ถึงตอนนี้จักรพรรดินีเริ่มเสด็จประพาสถี่ขึ้น และสุภาพสตรีในชุดขาวก็ดูเหมือนจะปรากฏตัวถี่ขึ้นเช่นกัน ในคืนครบรอบ 40 ปีการอภิเษกสมรสของพระนางเมื่อปี 1989 ที่ปราสาทฮอฟเบิร์กที่อยู่ติดกับโบสถ์ที่เคยจัดพิธีอภิเษก ทหารยามผู้หนึ่งด้เห็นสตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวถือไฟสำหรับจุดเทียน
เธอหันแบะเดินกลับไปทางเดินเข้าไปในห้องสวดมนต์ ทหารยามผู้นั้นตามเธอไปและบอกยามคนอื่นๆ ให้รู้ตัว พวกทหารยามช่วยกันค้นหาจนทั่วทั้งตึก
แต่ก็ไม่มีวี่แววของสตรีผู้นั้น ในคืนเดียวกันก็มีผู้พบเห็นสตรีในชุดขาวที่ปราสาทเชินบรุนน์เช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละเวลา
และในเช้าวันศุกร์อีกห้าเดือนต่อมาขณะที่จักรพรรดินีนีเอลิซเบธประทับพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่ที่เฉลียงโรงแรมแกรด์โฮเต็ล เมืองโซกซ์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พระนางทอดพระเนตรลงไปแลเห็นสตรีแต่งขาวจ้องมองอย่างประสงค์ร้าย พระนางจึงร้องให้คนช่วย พวกเจ้าหน้าที่ช่วยกันค้นหาจนทั่วก็ไม่พบตัว ตกค่ำนั้น
พระนางออกมาที่เฉลี่ยงก็เห็นสตรีคนเดิมอีกแต่คราวนี้มานั่งอยู่ใกล้ๆ พระนางตกพระทัยร้องให้คนช่วย และคราวนี้ก็เช่นกันไม่มีผู้ใดพบสตรีผู้นั้น
วันที่ 9 กันยายน ซึ่งก็เพียงไม่กี่วัดถัดมา ตอนนั้นพระนางประทับชมทิวทัศน์อยู่ที่แตรีเตบนเทือกเขาแอลป์กับ มร.เบเกอร์ พนักงานถวายอักษรชาวอังกฤษ ซึ่งนำตะกร้าผลไม้มาถวาย แล้วขณะที่ มร.เบเกอร์กำลังอ่านคอร์ลีโอเน่ ซึ่งเป็นนวนิยายเกี่ยวกับพวกมาเฟียที่พยายามปลงพระชนม์พวกเจ้านายถวายอยู่นั้น พระนางก็ตัดผลท้อซีกหนึ่งให้ มร.เบเกอร์ แต่ยังมิทันได้ส่งก็เห็นนกกาเรเวนตัวใหญ่ถลาลงจากต้นสยมาบินวนรอบพระเศียร ปลายปีกของมันปัดท้อพลัน หลุดจากพระหัตถ์ มร.เบเกอร์ตกใจมากเพราะเขารู้ว่าหมายถึงถึงอะไร
บ่ายวันรุ่งขึ้น พระจักรพรรดินีเสด็จออกจากโฮเต็ลที่ประทับในกรุงเจนีวาเพื่อจะประทับเรือล่องขึ้นไปตามทะเลสาปเจนีวา มีเคานเตสส์สตาเรย์ นางสนองพระโอษฐ์โดยเสด็จไปด้วย พอไปถึงท่าเรือก็ได้ยินเสียงระฆังเรือเคานเตสส์จึงรีบขึ้นหน้าไปก่อนหมายจะไปบอกพวกเจ้าหน้าที่มิให้ยกสะพานออก ทิ้งจักรพรรดินีไว้ลำพัง ทันใดนั้นก็มีชายผู้หนึ่งวิ่งตรงเข้าไปใช้เหล็กหมาดเย็บรองเท้าแทงเข้าที่พระอุระ และหนีไป ก่อนที่ใครๆ จะรู้ตัวแต่ก็ถูกจับได้ภายหลัง จึงรู้ว่าเป็นชาวอิตาเลียนชื่อลุยจี ลุกเกนี เป็นพวกอนาธิปไตย ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่าพระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนอประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน(และจนกลายเป็นหนึ่งคดีห้องปิดตายที่ในกระทู้ก่อน)
เหล็กหมาดได้ทำให้เกิดบาดแผลรูปสามเหลี่ยมเล็กและมีโลหิตอูดออกมาเพียงเล็กน้อย ตรงกับที่มาร์เกริต คัน ไลฟ์-โอเวน เห็นที่บริตตานีเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด
กา กับซะตากรรมของราชวงศ์แฮมสเบิร์กไม่จบเพียงแค่นี้ เมื่อตอนเจ้าชายแม็กซิเลียน(Emperador Maximiliano I) พระอนุชาของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ และชาล็อตต์ พระมเหสี เดินทางออกจากยุโรปเพื่อไปปกครองเม็กซิโกนั้น ก็ได้มีกาเรเวนตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบนหลังตู้เบกี้รถไฟที่เจ้าหญิงชาล็อตประทับต่อมาไม่นานแม็กซิมิเลียมก็ถูกฝ่ายปฏิวัติจับสำเร็จโทษ ส่วนพระนางชาล็อตต์ก็เสียพระจริต
แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปนี้
ฟรานซ์ เฟอร์ดินาน (Franz Ferdinand Karl Ludwig Joseph von Habsburg-Lothringen) พระนัดดาจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ทรงรักอยู่กับ
เคานเตสส์โซฟี โชแตก แล้ววันหนึ่งในเดือนมิถุนายน 1914 ขณะที่เจ้าหญิงโซฟีประทับรถพระที่นั่งไปตามถนนในกรุงเวียนนาโดยมีฝูงชนออดูกันตลอดสองข้างทางนั้น พระองค์ก็ได้เห็นฝูงกาบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า เจ้าหญิงรู้ว่านี้คือลางไม่ดีเลยยกเลิกหมายกำหนดการทั้งหมด รีบเสด็จไปเมืองโกโนปิชต์ในแคว้นโบฮีเมียโดยด่วน พอถึงก็ตรงไปพบพระสวามีที่กำลังประชุมอยู่กับพวกนายทหาร เจ้าหญิงทรงขอร้องให้พระสวามียกเลิกการเสด็จเยือนเมืองซาราเยโวเสีย
แต่อาร์ชดยุคเฟอร์ดินานมิอาจทำได้ เพราะบอสเนียกำลังก่อกบฏ พระองค์จำเป็นต้องไปปรากฏตัวพระองค์เพื่อปลุกใจฝ่ายที่สนับสนุนนออสเตรีย
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป อีกทั้งพระองค์ก็ไม่เชื่อเรื่องกา
เมื่อขอร้องไม่สำเร็จ เจ้าหญิงเลยตามเสด็จไปด้วย แล้วในขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับรถที่นั่งสีแดงเปิดประทุนไปตามถนนในเมืองซาราเยโวนั่นเอง
ก็มีพวกปฏิวัติโยนระเบิดเข้าใส่ แต่ทั้งสองพระองค์มิได้รับอันตราย แม้จะตกพระทัยอยู่บ้าง แต่ก็ทรงให้ไปต่อ และเมื่อรถขับเข้าถนนรูดอร์ฟ ทั้งสอง
ก็ถูกนักศึกษาหนุ่มหัวอนาธิปไตยชื่อ เกบริล ปรินซิป ใช้ปืนยิง ทั้งสองสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
เหตุการณ์ครั้งนั้นได้กลายเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในเวลาต่อมา ที่เป็นเหตุทำให้คนต้องล้มตายหลายล้านคน และทำให้จักรวรรดิราชวงศ์
แฮปสเบิร์กต้องพบจุดจบ ความแค้นของอีกาได้ชำระสำเร็จลุล่วงแล้ว
ที่มา:http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=114523.0
Credit :: ต่วยตูน
Credit :: ต่วยตูน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
32 VOTES (4/5 จาก 8 คน)
VOTED: แม่เสือ, ตี๋ หิด, Teyty, ginger bread, ลูกเป็ดยักษ์พเนจร, ซีเจย์
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พบภาพปริศนาลึกลับขนาดใหญ่ บนพื้นหินที่อินเดียว อายุมากกว่าหมื่นปี นักวิทย์ยังตกลงไม่ได้ ว่าคือภาพอะไรช็อกกลางงาน! ทหารโสมเหนือปฏิเสธจับมือ "คิมจองอึน" ผู้นำยืนเก้อ‘ขนม ศศิกานต์’ เลิก ‘ครูเต้ย อภิวัฒน์’ ทั้งที่เพิ่งคลอดลูก คนที่ 2 จากกันด้วยดี ไม่มีมือที่ 3ตำรวจ ตามรวบจนครบ 3 โจ๋เหิมเกริม ใช้มีดฟันคู่อริ กลางสถานี BTSนางเอกดังสุดเศร้า กับการสูญเสียครั้งใหญ่ โพสต์อาลัยรักสุดหัวใจ1 ใน 8 ของนักเรียนร.ร.รัฐในนิวยอร์ก'ไร้บ้าน'!วิธีสร้างบ้านสวยด้วยต้นไม้: การออกแบบสวนในบ้านที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"ฝรั่งเผยชีวิตไทยสุดชิล! ไม่คิดกลับอเมริกา แถมซึ้งใจเมืองพุทธจนใจละลายอันตราย! คนจีนจ้างแพ็คอาหารเสริมปลอม ขายผ่านออนไลน์ในไทย"ฟินไม่หยุด! 'เบลล่า' เผยโมเมนต์ 'วิล ชวิณ' จีบตั้งแต่รอเครื่องยันลงจอด"ล่าแม่มดทริบูร์: ความกลัวที่ทำให้ชีวิตกลายเป็นเพียงเงาในประวัติศาสตร์""ช็อกแป๊บ! เจอ 'หลวงพี่เท่งตัวจริง' เดินบิณฑบาต คนถามหนังหรือชีวิตจริง"Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
1 ใน 8 ของนักเรียนร.ร.รัฐในนิวยอร์ก'ไร้บ้าน'!ตำรวจ ตามรวบจนครบ 3 โจ๋เหิมเกริม ใช้มีดฟันคู่อริ กลางสถานี BTSอันตราย! คนจีนจ้างแพ็คอาหารเสริมปลอม ขายผ่านออนไลน์ในไทย"ช็อกแป๊บ! เจอ 'หลวงพี่เท่งตัวจริง' เดินบิณฑบาต คนถามหนังหรือชีวิตจริง"ล่าแม่มดทริบูร์: ความกลัวที่ทำให้ชีวิตกลายเป็นเพียงเงาในประวัติศาสตร์"