แม่ของสาวประเภทสอง เคียงข้างลูกในยามผ่าตัดแปลงเพศ
ไม่ได้เกิดมาเป็นกะเทยไม่รู้หรอกว่าชีวิตนั้นลำบากแค่ไหน นอกจากสายตาดูถูกโดนมองเป็นตัวตลก การจะทำอะไรหลายๆอย่างในชีวิตเหมือนคนเพศปกติก็ยิ่งไมได้รับการยอมรับทำให้ เอ็ม รภัสรดา กิตติประภาพงศ์ เฟสบุค ( Lapasrada Radissinisa) ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเรียนไม่จบ เพราะมีความจำเป็นและภาระหาเงินส่งน้องชายเรียนต่อ พร้อมทั้งต้องเลี้ยงแม่การเสียสละทำเพื่อครอบครัวของ เอ็ม ทำให้เธอถูกยกว่าเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง จนวันหนึ่งที่เอ็ม พร้อมเก็บเงินก้อนหนึ่งเธอจึงบินกลับมาเมืองไทยผ่าตัดแปลงเพศเพื่อให้ได้เป็นผู้หญิงเต็มตัวตามที่ฝันไว้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆเป็นอีแอบอีกต่อไป
“ถ้าให้พูดถึงว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เอ็มคิดอยากจะแปลงเพศ ก็คงหนีไม่พ้นแม่แหละค่ะ เอ็มอยากเป็นผู้หญิงเก่งเหมือนแม่ แม่เลี้ยงลูกสองคนมาเพียงคนเดียว ดังนั้นเอ็มซึมซับความเป็นผู้หญิงมาจากแม่ เอ็มไม่รู้นะว่าอะไรที่อยู่ดีๆทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นผู้ชายแต่อยากกลับกลายเป็นผู้หญิง จะเป็นเพราะฮอร์โมนในร่างกาย หรือการเลี้ยงดูก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อเอ็มเป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ สิ่งที่เอ็มสามารถทำได้ดีสุดคือ เลือกที่จะเป็น แล้วถ้าเอ็มเลือกที่จะเป็นแล้ว ดังนั้นเอ็มต้องเป็นให้ได้เหมือนกับคำที่แม่สอนว่าถ้าคิดจะเป็นผู้หญิง ดังนั้นต้องทำตัวให้เป็นผู้หญิง ไม่ใช่ประดิษฐ์ที่จะเป็นผู้หญิง”
“เอ็มใช้เวลาเกือบ 2 ปี ไม่ว่าจะปรึกษากับแม่และทางครอบครัว ซึ่งช่วงแรกๆที่เราเป็นกะเทยออกสาวที่บ้านยังรับไม่ได้เพราะคงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนหรอกอยากให้ลูกเป็นตุ๊ด เขาก็คงอยากให้เราเป็นเหมือนชายแท้คนอื่นๆโตขึ้นแต่งงานมีลูกมีเมียสร้างครอบครัว แต่สำหรับเอ็ม มันไม่ใช่ไง เอ็มรู้ว่าเราเป็นอะไร แต่พอวันหนึ่งที่เรากลายเป็นอีกคนคืออยากเป็นผู้หญิงกะตุ้งกะติ้ง เริ่มทะเลาะกับที่บ้านสุดท้าย เขาก็ค่อยๆยอมรับตัวเรา จนวันที่เราพร้อม เอ็มก็เริ่มหาข้อมูล รีวิวต่างๆว่าหมอท่านไหนที่มีประสบการณ์และน่าจะฝากชีวิตไว้ด้วยได้
สุดท้ายก็ได้จบลงที่หมอธีระพงศ์จากบางกอกศัลยกรรม จากนั้นเอ็มกับแม่ก็บินกลับเมืองไทยเพื่อรับการผ่าตัดโดยมีแม่เป็นผู้ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับน้องๆหรือเพื่อนๆคนไหนต้องการหาข้อมูลในการผ่าตัดแปลงเพศ สิ่งที่เอ็มจะเล่าต่อไปนี้ คือสิ่งที่เอ็มได้ผ่านมาจากประสบการณ์ของเอ็มเองล้วนๆค่ะ”
“สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนแปลงเพศเลยคือการพบจิตแพทย์ และต้องเป็นจิตแพทย์จากสองสถาบันนะคะ เพื่อทำการพูดคุยสอบถามประวัติว่าเรามีความเป็นมายังไง แน่ใจขนาดไหนที่จะเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าเปลี่ยนไปแล้วผลที่ออกมาไม่เป็นไปอย่างที่เราตั้งใจ เราจะรับกับผลนั้นได้มั้ย สิ่งที่ทุกคน (สาวประเภทสอง) ต้องจำไว้เลยนะคะ ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่าวอกแวกคะ เพราะมันคือคำถามและคำพูดที่คุณหมอเค้าใช้ไว้โน้มน้าวสภาพจิตใจของเราว่าเรามีความพร้อมแค่ไหนก่อนจะได้รับการผ่าตัด เพราะถ้าคุณเกิดตอบคำถามที่ทำให้คุณหมอเค้ารู้ว่าคุณยังไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ เค้าก็จะไม่เซ็นให้คุณผ่านการประเมินค่ะ เอ็มใช้เวลา 2 ชั่วโมงอยู่ในห้องสอบ”
“จากจิตแพทย์ของสองสถาบัน บอกเลยว่าเป็นช่วงเวลาที่กดดันมาก บอกตรงๆคำพูดและคำถามของคุณหมอแต่ละท่านทำให้เอ็มเกิดอาการลังเลและกลัว แต่อย่างที่บอก ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนแล้ว อย่าวอกแวกคะ สู้!! แล้วเอ็มก็ผ่านมาได้ เอ็มได้ใบรับรองแพทย์จากสองสถาบันมาเป็นที่เรียบร้อยคะ หลังจากได้ใบรับรองแพทย์มาเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงการนัดวันที่จะพบกับคุณหมอที่จะทำการผ่าตัดเราคะ ซึ่งเอ็มเลือกหมอ ธีระพงศ์ คุณหมอก็จะทำการตรวจเลือด ตรวจร่างกาย สอบถามประวัติ และนัดวันผ่าตัดค่ะ หลังจากนั้นก็ชำระเงิน ตอนนั้นเอ็มจ่ายไปทั้งหมด 120,000 บาท ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเอ็มเองโดยที่ไม่พึ่งเงินแม่เลยซักบาทเดียว”
“และแล้ววันผ่าตัดก็มาถึงโดยมีแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลเอ็มมาตลอด มาอยู่ดูแลและส่งตัวเอ็มเข้าห้องผ่าตัด หลังจากที่กรอกประวัติเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้าห้องพักเปลี่ยนเสื้อผ้า ชำระร่างกายให้สะอาดเตรียมตัวรอพยาบาลมารับตัวเข้าห้องผ่าตัด เอ็มได้เวลาผ่าตอน 2 ทุ่มของวันนั้น บอกตรงๆตอนนั้นกลัวมาก สั่นไปหมด แอบคิดอยู่ในใจเลยนะว่า เปลี่ยนใจทันป่ะ 555+ แต่สุดท้ายความอยากเป็นผู้หญิงมันมากกว่า เลยตัดสินใจกัดฟันสู้ ฝ่าความกลัวทั้งหมด แล้วพยาบาลก็เข้ามารับตัวไปส่งที่ห้องผ่าตัด ยอมรับเลยตอนนั้นเอ็ม ร้องไห้ปล่อยโฮ!!! ออกมาหนักมาก มันเป็นความรู้สึกทั้งกลัวทั้งดีใจ แล้วยิ่งหันไปเห็นหน้าแม่เดินมาส่งหน้าห้องผ่าตัดอีก คือแบบสุดๆแล้วโมเม้นนั้น แม่บอกก่อนเข้าห้องผ่าตัดว่า แม่รักหนูน้า สู้ๆลูก เดี๋ยวตื่นมาก็เป็นคนใหม่ละ เดี๋ยวแม่รอรับอยู่ที่ห้อง ตอนนั้นรู้สึกมันบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกมันอยากร้องไห้ปล่อยโฮ
เอ็มเลยตัดสินใจต่อหน้าคนเยอะๆ ก้มลงกราบเท้าแม่ แม่เขาก็ตกใจว่าเราเป็นอะไร คือเอ็มอยากขอโทษในทุกๆ อย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเคยเถียงกับแม่ ที่ไม่เข้าใจเราก่อนหน้านี้ที่เราเป็นตุ๊ด อยากขอโทษแม่ที่เอ็มเป็นลูกชายให้แม่ไม่ได้ และที่สำคัญอยากขอบคุณแม่ที่อยู่เคียงข้างเราเสมอไม่ว่าเราจะเป็นอะไร เอ็มเลยก้มกราบเท้าแม่แล้วร้องไห้ แล้วก็กอดแก จากนั้นพยาบาลก็พาลากเข้าห้องผ่าตัด”
ตอนนี้เอ็มได้เข้ามาอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยละ ความรู้สึกในนี้มันเย็นมาก สิ่งที่เห็นมันเป็นเหมือนโคมไฟใหญ่ๆส่องลงมาตรงหน้า พร้อมกับอุปกรณ์การแพทย์อะไรบางอย่าง ตอนนั้นยิ่งรู้สึกกลัว เริ่มตัวสั่น นอนนิ่งๆไม่พูดอะไร ซักพักก็มีทีมแพทย์เข้ามาประจำตำแหน่ง มีการแนะนำตัวให้เอ็มได้รู้จัก ในระหว่างที่มีการพูดคุยก็จะมีทีมพยาบาลมาเปลี่ยนสายน้ำเกลือตรงข้อมือให้ (คาดว่าน่าจะเป็นยานอนหลับ) เอ็มก็ได้นอนฟังพี่ๆเค้าพูดไปเรื่อยๆ ถามประวัติโน่นนี่นั่น และสุดท้ายก็มีพี่คนนึงชะโงกหน้าเข้ามาบอกว่า น้องเอ็มคับ เดียวคืนนี้พี่จะอยู่ตรงนี้นะ พอน้องเอ็มตื่นมาน้องเอ็มก็จะเห็นหน้าพี่เป็นคนแรกนะคับ แล้วพี่แกก็เอาอะไรมาครอบตรงจมูกไม่รู้ แล้วก็บอกว่านับ 1-3 แล้วน้องเอ็มก็สุดหายใจเข้าลึกๆนะคับ หลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็ถูกตัดค่ะ………………….”
“ขณะนี้เป็นเวลาตี 5 ค่ะ ลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกจากพี่คนนั้น พี่เค้าเขย่าตัวเอ็มแรงมากแล้วบอกว่าเสร็จแล้วครับน้องเอ็ม เจ็บมั้ย? ส่ายหน้าไปมา ตอนนั้นเบลอมาก รู้แต่ว่าอยากนอนอย่างเดียว หลังจากนั้นทีมพยาบาลก็พาตัวมาส่งที่ห้อง ภาพตัวนั้นเห็นแม่กำลังยืนมองเอ็มอยู่ ความรู้สึกตอนนั้นคือดีใจมากที่เราผ่านมาได้ และรู้สึกว่าหลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นเอ็มก็ไม่หวั่นละ เอ็มใช้เวลาอยู่ 5 วันในโรงบาลแล้ววันที่เปิดแผลก็มาถึง ด้วยความที่เอ็มไม่เคยมีประสบการณ์การผ่าตัดมาก่อน นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ 5 วัน ลุกไม่ได้
ดังนั้นเอ็มก็ไม่รู้ว่าคนหลังผ่าตัดจะต้องเจออะไรบ้าง รู้แต่ว่าอึดอัด อยากเอาผ้าพันแผลออก ตอนนั้นได้ลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อทดสอบการปัสสาวะเป็นครั้งแรก บอกเลยว่าหน้ามืดมาก อยากอาเจียน รู้สึกเหมือนตัวเอ็มหนักมาก ก็เลยเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ พอเสร็จก็เดินออกมา อาการเดิมจ้า หน้ามืด ตัวหนัก กำลังก้าวขึ้นเตียง สุดท้ายไปไม่รอด ล้มลงกองที่พื้น หมดสติไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงแม่ตะโกนดังมาก เรียกพยาบาล ตอนนั้นเลือดออกเพราะสายน้ำเกลือหลุด เหตุเพราะแรงกระชากตอนล้มนั่นเอง สุดท้ายพยาบาลก็เข้ามาพยุงตัวเอ็มขึ้นเตียง แล้วถึงได้สติ ตอนนั้นรู้ได้ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นลมหมดสติเลยว่าเค้าเป็นแบบนี้นี่เอง
แต่การรักษาหลังการผ่าตัดมันยิ่งกว่า เอ็มต้องทรมานกับอาการหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นไข้ อาการบวมของแผล หรือการแทงโมเปิดช่องคลอดเพื่อไม่ให้มันตัน ตอนนั้นกลัวมาก บอกเลยความรู้สึกมันหายไปหมด มันเหมือนคนตายด้าน ไม่มีความรู้สึกว่าต้องการทางเพศ มันมีแต่ความรู้สึกเหนื่อย ง่วงนอน อยากนอนตลอดเวลา เวลาลุกเดินไปไหนก็คอยแต่จะอ้วก หน้ามืด จนทำให้เอ็มกลัวแล้วก็ร้องไห้ ตอนนั้นข้อมูลที่เราเคยหามา มันเข้ามาในหัวหมดเลย บ้างก็ว่าหลังผ่าตัดบางคนความรู้สึกก็ไม่กลับ กลายเป็นคนตายด้าน บ้างก็ว่าเคยมีคนคิดท้อใจฆ่าตัวตายเพราะตัดสินใจผิด นอยด์มากตอนนั้น เอ็มก็มีความรู้สึกแบบอยากฆ่าตัวตายเหมือนกันมันทรมานมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่ก็คิดถึงหน้าแม่ ก็เลยเอาว่ะ ลองทนอีกหน่อยดู บางทีพวกเส้นประสาทมันอาจจะยังไม่เข้าที่ แล้วมันก็เป็นอย่างที่เอ็มคิดจริงๆ เอ็มใช้เวลาประมาณ 2 เดือน กว่าความรู้สึกทุกอย่างจะกลับคืนมา
เป็น 2 เดือนที่คุ้มค่านะ เพราะเอ็มได้รู้เลยว่าการผ่าตัดแปลงเพศมันทรมานขนาดไหน และเราต้องทนกับอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ ความอึดอัด ความทรมาน และความกดดันต่างๆ ในระยะเวลานั้น แต่สุดท้ายเอ็มก็ผ่านทุกอย่างมาได้”
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากเฟสบุคน้องเอ็ม Lapasrada Radissinisa
Credit : Thaijob gov