"ไหมทองพันร่ม" หรือ "ไหมทองล้อมเดือน"(กิม สั่ว ตี่ อิม)
เรื่อง : แต้จิ๋ว
กิม สั่ว ตี่ อิม (ไหมทองล้อมเดือน)
คนจีนเชื่อเรื่องโหงวเฮ้งมาก แม้จะมีคติเตือนใจว่า คนเรารู้หน้า รู้ชื่อ ไม่รู้ใจ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงชอบใช้หลักแห่งโหงวเฮ้งมามองคน ยิ่งในยุคแต่งงานแบบคลุมถุงชนด้วยแล้ว ศาสตร์แห่งโหงวเฮ้งก็ยิ่งสำคัญ ผู้ชายกับผู้หญิงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดรู้จักกันมาก่อน การเลือกคู่นอกจากดูตามฐานะชาติตระกูลแล้ว เรื่องโหงวเฮ้ง เรื่องดวงชะตา วันเดือนปีเกิดก็เป็นตัวชี้ขาดอีกตัวหนึ่ง
ชาวแต้จิ๋วมีภาษิตเกี่ยวกับการดูลักษณะหญิงเจ้าชู้ว่า.....
สองตาเป็นประกาย ใบหน้าระรื่น ผิวขาวเหมือนแป้ง เนื้อนุ่มดั่งปุยนุ่น ผิวมันเหมือนทาน้ำมัน ใบหน้าตกกระ หางตาชี้ลง ยังไม่ทันพูดก็หัวเราะ ฯลฯ หรือ
เดินเหมือนนกกระจอก ตัวอ่อนระทวยดังหลิวต้องลม เหลียวหน้าเหลียวหลัง ยืนเอียงไปเอียงมา ฟังโน่นฟังนี่ ท่าทางเหมือนม้าดีดกะโหลก หลุกหลิกนั่งนิ่งๆไม่เป็น กัดเล็บ เท้าคาง บิดผ้า แคะฟัน
เหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะของผู้หญิงสำส่อน
ถ้าหญิงใดมีลักษณะโหงวเฮ้งเช่นนี้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะหาสามีดีๆได้
ส่วนลักษณะของผู้ชายเจ้าชู้สำส่อนนั้น ชาวแต้จิ๋วมิได้ว่าไว้เป็นบทสุภาษิต ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะสังคมยุคนั้นผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง ผู้หญิงไม่มีสิทธิ๋เลือกผู้ชาย
อีกทั้งผู้ชายเจ้าชู้มากรักหลายเมีย ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ผิดศีลธรรมผิดประเพณีแต่อย่างไร
พวกหนุ่มเสเพลที่ไม่ยอมทำงานทำการ วันๆว่างจัดหรือที่คนแต้จิ๋วเปรียบเปรยไว้ว่า.....
เจียะ ป้า บ่อ สื่อ จ่อ
(กินอิ่มแล้วไม่มีงานทำ)
ยังนิยมพูดคำทะลึ่ง เทียบบัญญัติไตรยางศ์ระหว่างลักษณะโหงวเฮ้งของผู้หญิงกับอวัยวะสืบพันธุ์ว่า...
ถ้าปากกว้าง…ก็จะใหญ่
ถ้าคิ้วหนา ขนเพชรก็จะดก
ถ้า(หน้าผาก)โหนกหน้า…ก็จะค่อนไปทางข้างหลัง
ถ้าตาโปน…ก็จะโปนตาม
แม้จะเป็นคำพูดที่ทะลึ่งตึงตัง แต่ก็พูดตามหลักสรีระ เปลือกนอกมีลักษณะเช่นไร เนื้อในก็จะเป็นเช่นนั้น เล่ากันว่า พระนางหลี่โห้ว ฮองเฮาของฮั่น โก โจนั้น ขนเพชรแกต่ละเส้นยาวถึง 1 ฟุต 8 นิ้ว อีกทั้งมีสีเหลืองทอง ขดตัวหยิกหยอยปกป้องของวิเศษของนางไว้อย่างแน่นหนา ใช้มือคลี่ออก ก็จะยาวถึงหัวเข่า พอปล่อยมือก็จะสปริงตัวขดกลับดังเดิม ขนชนิดนี้เรียกว่า กิม สั่ว ตี่ อิม
แปลว่า ไหมทองพันร่ม นับเป็นสิ่งวิเศษ แต่ก็บ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นเซ็กส์จัด
นอกจากนี้ยังเชื่อกันอีกว่าหญิงใดมีขนเพชรหยาบ ดำ เส้นตรงและยาว แสดงว่าหญิงนั้นอับวาสนา แม้จะได้ดิบดี ก็รุ่งได้ไม่นาน ขนเพชรของคนวาสนาดีนั้น จะต้องออกสีเหลืองทองอ่อนนุ่มเท่านั้น ขนเพชรที่หยาบ เส้นหนา รกรุงรังนั้นล้วนบ่งบอกว่าเจ้าของเป็นคนอาภัพอับโชค
ประการต่อมา ขนที่ช่องทวารหนัก หญิงที่มีลักษณะดีนั้น ช่องทวารหนักควรจะมีขน แต่ขนนั้นต้องไม่ยาวจนแลบออกมาข้างนอก
แต่จากปากคำของเหล่านักเที่ยวต่างพูดว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีขนที่ทวารหนัก ผู้ชายสิมี
แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่น ผู้หญิงผิวดำกับสาวมาเลย์จะมีขนดกดำที่ก้น
จากบันทึกลับในวัง มีข้อความตอนหนึ่งเขียนถึงวิธีการคัดเลือกนางสนมฮองเฮา บันทึกเล่าว่า.....
สาวงามที่ได้รับการคัดเลือกเข้าวัง จะต้องถูกเหล่าแม่เฒ่าตรวจดูร่างกายอย่างถี่ถ้วน ตรวจทุกสัดส่วนของเรือนกาย ทั้งเต้านม ของลับ หรือแม้กระทั่งทวารหนักก็ต้องพิษดูอย่างถี่ถ้วน
หากเป็นสมัยนี้มันก็ไม่เท่าไหร่ดอก สาวๆสมัยนี้ไปนอนให้หมดผู้ชายตรวจภายในออกจะบ่อยไป หรือไม่ก็ไปแก้ผ้าให้หมอพิษดูโหงวเฮ้งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
แต่สำหรับผู้หญิงสมัยโบราณที่แม้แต่แขนพวกเธอก็ยังไม่ยอมให้ใครมองเห็นง่ายๆน่ะ เรื่องแก้ผ้าจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้ล่ะก็พวกเธอคงยอมตายดีกว่าทนอายปล่อยให้คนอื่นมาพิศดูของสงวนของพวกเธอแบบนั้น
ในการตรวจร่างกายนั้น พวกสาวงามจะเดินเข้าแถวเรียงหนึ่งให้แม่เฒ่าตรวจดูใบหน้า จากนั้นแม่เฒ่าก็จะถอดเสื้อผ้าของพวกเธอออกจนหมด แล้วอุ้มไปพิศดูในที่ที่แสงแดดส่องถึง (สมัยนั้นไม่มีไฟฟ้า) จะได้เห็นชัดๆว่าหญิงนั้นมีลักษณะ
กลิ่นกายสาบสาวหอมสดชื่น กล้ามเนื้อสะอาดเปล่งปลั่ง ผิวลื่นจับไม่ติดมือ หน้าอกอวบอิ่มเต่งตึง สะดือเท่าไข่มุกครึ่งนิ้ว อวัยวะเพศอิ่มเอิบ ตรงกลางเป็นร่องลึก มีสีแดงสดใสหรือเปล่า เล่ากันว่าของลับของหญิงใดยิ่งมีสีแดงสดใส มองคล้ายเปลวไฟพวยพุ่งออกมา หญิงนั้นก็จะมีพลังทางเพศสูงยิ่ง
นี่คือการดูผู้หญิงตามหลักนรลักษณ์ศาสตร์สมัยโบราณ ผู้หญิงไม่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง จึงต้องตกเป็นเครื่องเล่นของผู้ชาย ถูกคัด ถูกเลือก ถูกพินิจ
แต่สมัยนี้ชายหญิงเท่าเทียมกัน ใครเขาจะยอมให้คนอื่นมาทำกับตัวเองเช่นนี้ แม้หลักแห่งนรลักษณ์ศาสตร์จะยังคงเป็นสัจธรรม แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะชี้ชะตาของผู้หญิงอีกต่อไป
ผู้หญิงสมัยใหม่ ไม่ใช่วัตถุทางเพศเหมือนอย่างสมัยโบราณ เพราะฉะนั้น จึงอย่าหลงเอามาตรฐานคนโบราณมาวัดค่าหล่อนเชียว รับรองเจอดีแน่
ซ้ำขออภัยค่ะ