ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ในอดีตชาวสยามยอมขายตัวเป็น"ทาส"เพื่อจะได้กิน "ราชาแห่งผลไม้"
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ไปไกลเกินกว่ามีไว้แค่กิน แต่เป็นเรื่องของความงาม สุนทรียะ เป็นสิ่งสะท้อนรสนิยม กล่าวได้ว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ชั้นสูง มีราคาและคุณค่ามาแต่โบร่ำโบราณ ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ได้กล่าวถึงเรื่องทาสในกรุงสยาม ไว้ตอนหนึ่งว่า "ชาวสยามที่เป็นไทย เต็มใจยอมขายตัวเป็นทาสเพื่อจะได้กินผลไม้ลูกเดียวที่เรียกว่า ทุเรียน" โดยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ต้องเสียอากรใหญ่ ทุเรียนอากรแพงกว่าต้นไม้ทั้งปวงถึง 2 เท่า
เมอร์ซิ เออร์ เดอลาลูแบร์ ซึ่งเป็นนักการทูตและนักเขียนที่มีชื่อเสียง ได้บันทึกสิ่งต่างๆ ที่ได้พบเห็นเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย รวมทั้งเกษตรกรรมของเมืองไทยบางส่วน และนำไป เขียนเป็นหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยอยุธยาในช่วงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในกรุงปารีสเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๖ มีขนาดความยาว ๒ เล่ม
ในเรื่องที่เกี่ยวกับเกษตรกรรมของไทย ตอนหนึ่งได้ระบุเรื่องเกี่ยวกับทุเรียนไว้ว่า "ดูเรียน" (Durion) ชาวสยามเรียกว่า "ทูลเรียน" (Tourrion) เป็นผลไม้ที่นิยมกันมากในแถบนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าไม่สามารถ ทนต่อกลิ่นเหม็นอันรุนแรงของมันได้ ผลมีขนาดเท่าผลแตง มีหนามอยู่โดยรอบ ดูๆ ไปก็คล้ายกับขนุนเหมือนกัน มีเมล็ดมาก แต่เมล็ดใหญ่ขนาดเท่าไข่ไก่ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้กิน ภายในยังมีอยู่อีกเมล็ดหนึ่ง ถือกันว่ายิ่งมีเมล็ดในน้อยยิ่งเป็นทูลเรียนดี อย่างไรก็ตาม ในผลหนึ่งๆ ไม่เคยปรากฏว่ามีน้อยกว่า ๓ เมล็ดเลย
จากหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า มีการปลูกทุเรียนในภาคกลางของประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนจะเข้ามาจากที่ไหนและ โดยวิธีใด ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่น่าเชื่อถือได้ว่าเป็นการนำมาจากภาคใต้ของประเทศไทยนั่นเอง และมีการปรับปรุงพันธุ์อย่าง สม่ำเสมอตลอดมา โดยระบบของสังคมไทย เช่น การนิยมเอาผลไม้ดีที่สุดถวายพระหรือเป็นของกำนัลเจ้านาย รวมทั้งระบบของรัฐ เช่น การเก็บอากรเกี่ยวกับต้นผลไม้ เป็นการส่งเสริมแกมบังคับให้ทุกคนต้องปรับปรุงพืชผลของตนเอง ส่งผลให้เมืองไทยมีพันธุ์ไม้ผลดีๆ หลากหลายชนิดมาจนถึงสมัยปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่างานปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลของประเทศไทยโดยชาวบ้านได้เริ่ม ตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นต้นมา และเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษสู่ชนรุ่นปัจจุบัน
thaiwinds.com