ท่านสาธุชนที่เคารพ ผมมีความยินดีเป็นอันมากที่ในวันนี้ผมมีเรื่องสำคัญมาเสนอต่อท่าน คือเรื่อง "กะเทย"

เหตุผลในการบรรยายเรื่องกะเทย

ท่านสาธุชนที่เคารพ ผมมีความยินดีเป็นอันมากที่ในวันนี้ผมมีเรื่องสำคัญมาเสนอต่อท่าน คือเรื่อง "กะเทย"

เรื่องของกะเทยนั้นเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายเคยได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ เพราะใครๆ ก็ชอบพูดกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ในคำว่า "กะเทย" แต่จะหาผู้ใดที่รู้และเข้าใจเรื่องกะเทยจริงๆ นั้นยากยิ่งนัก มีความเข้าใจแต่เพียงว่ากะเทยนั้นเป็นผู้ที่มีความผิดปกติของร่างกายและจิตใจในทางเพศ และเท่าที่ใครๆ สังเกตก็มีแต่เห็นว่า ที่เป็นกะเทยนั้น เพราะเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นผู้ชาย แต่ทำท่าทางเดินเหินพูดจา กิริยามารยาทต่างๆ เหมือนผู้หญิง หรือบางคนทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนผู้หญิงเราดีๆ นี่เอง แต่ทว่าเวลาเดินเหินพูดจากิริยามารยาททำท่าทางเหมือนผู้ชาย

ด้วยเหตุนี้ ความรู้ของประชาชนส่วนใหญ่ก็พากันรู้เพียงเผินๆ ว่า "กะเทย" คือความผิดปกติในทางเพศ แต่ที่จะรู้ดีว่ากะเทยคืออะไร เป็นกะเทยขึ้นมาได้อย่างไรนั้นค้นหายังไม่พบ

จะมีผู้ใดในโลกนี้อธิบายได้เล่า แม้เพียงแค่ผู้หญิงผู้ชายอยู่ที่ไหน แล้วมันเป็นผู้หญิงและผู้ชายขึ้นมาได้อย่างไร ก็ตอบไม่ได้

ในเรื่องดังกล่าวมานี้ ถ้ามิได้อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วก็จะไม่มีทางเลย แม้จะใช้เวลาไปอีกนานแสนนานอย่างไรก็ตาม จะต้องศึกษาพระอภิธรรมปิฎกที่เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ แล้วว่าด้วยเรื่องของชีวิตจิตใจเท่านั้น

ผมมีเหตุผลอย่างไรจึงได้นำเรื่องนี้มาเสนอต่อท่านสาธุชนทั้งหลาย

ความปรารถนาที่จะเสนอเรื่องกะเทยให้แก่ท่านทั้งหลายวันนี้ ก็เพราะมีเหตุผลหลายประการด้วยกัน

ข้อที่หนึ่ง มีเรื่องเอะอะเกรียวกราวกันในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ และเรื่องนี้มีทั้งในต่างประเทศทั่วโลกและประเทศไทยด้วย เพราะใครๆ ก็เห็นว่า กะเทยนั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาดเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง

ผมจะได้เสนอต่อท่านทั้งหลายให้ได้รับฟังเอาไว้เพื่อเป็นการศึกษา เพราะแต่ละคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องกะเทยมาบ้างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันในทางโลกทางวิทยาศาสตร์ด้านหนึ่ง ผู้มีความรู้เกี่ยวกับในศาสนาก็พูดไปในแง่ของพระพุทธศาสนาไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี มีเหตุผลมีคำอธิบายไปคนละอย่าง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ทางโลกทางวิทยาศาสตร์กับในทางพุทธศาสนานั้น เหตุผลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องกะเทยไม่ตรงกัน และไม่ตรงกันในเรื่องที่สำคัญอย่างที่สุดหลายข้อเสียด้วย จึงขอเสนอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา

ข้อที่สอง หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันเกรียวกราวเกี่ยวกับเรื่องกะเทยว่า เวลานี้ในต่างประเทศกะเทยเขาไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ หรือไม่ได้ลับๆ ล่อๆ เหมือนในอดีตแล้ว เมื่อก่อนนี้กะเทยทั้งหลายต้องแอบซ่อนความเป็นกะเทยของตนทั้งนั้น เพราะมีความอาย แต่เวลานี้เปิดเผยกันหมด เพราะจำนวนกะเทยมีมากขึ้น เขาทนไม่ไหว เช่นในมหานครนิวยอร์ค พวกกะเทยได้เปิดสัมมนาขึ้น การเปิดสัมมนานี้ไม่ใช่ ๑๐ คนหรือ ๒๐ คน แต่เป็นร้อย สัมมนากันอย่างหมดเปลือก และผู้สัมมนาคือใคร ก็บรรดากะเทยทั้งหลาย และบรรดากะเทยทั้งหลายก็ล้วนแต่ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชน เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย เป็นข้าราชการผู้น้อย เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์ตลอดไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ ต่างก็มาชุมนุมสัมมนากัน

เขาว่าอย่างไรครับ เขาพากันพูดว่า พวกกะเทยคือพวกเขาก็คนเราดีๆ นี่เอง แต่กลับอยู่ในขอบข่ายหรือในขอบเขต คือต้องพากันหลบหน้าซ่อนตากันมานานเหลือเกินแล้วเหมือนว่าเป็นคนที่ถูกจำกัดอยู่ในกรงขัง เพราะจำกัดสิทธิเสรีภาพปิดกั้นจนเกินไป คราวนี้เขาไม่ยอมละ สิทธิเสรีภาพจะต้องเอาคืนมาให้ได้ ดังนั้นจึงเปิดการสัมมนาขึ้น เพื่อจะได้มีเสรีภาพ ระวังนะครับไม่วันใดวันหนึ่งประเทศไทยจะมีการสัมมนากันขึ้นสักวัน เพราะเดี๋ยวนี้เขาทำกันอยู่แล้ว ต่างประเทศทำได้แล้วเหตุไฉนคนไทยจะทำไม่ได้ หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันอยู่เสมอ กลายเป็นอาหารที่โอชารสจานใหญ่ เป็นเรื่องที่ควรหาความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจนี้หรือไม่เพื่อประเทศชาติและประชาชน

ข้อที่สาม กะเทยคืออะไร แล้วเกิดเป็นกะเทยขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลประการใด ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะอธิบายได้ ผมจะได้เสนอความรู้ที่น่าอัศจรรย์ใจจากในพระอภิธรรมปิฎกออกสู่ท่านทั้งหลายแล้วจะให้ขยายต่อไปถึงประชาชนทั่วไป ประชาชนจะได้ศึกษาพระอภิธรรมปิฎกกันเสียบ้าง จะได้มีปัญญาในปัญหาของชีวิตจิตใจและเห็นหนทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ได้