บทสัมภาษณ์ : "นิกอบ(ผ้าคลุมปิดหน้า) ฮิญาบ หรือ เปิดเผยความงาม..."
โพสท์โดย ลูกสาวอบต
เป็นบทสัมภาษณ์ต่อมุมมองของแต่ละคนที่แสดงออกระหว่างการคลุมผ้า การปิดหน้า และการเปิดเผยความงาม ซึ่งเป็นการแสดงมุมมองของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไงก็ตาม มุสลิมะฮ์ที่ปิดหน้าและคลุมผ้านั้น เธอทั้งสองได้แสดงมุมมองได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะมุสลิมะฮ์ที่ปิดหน้า เป็นสิ่งซึ่งประทับใจจริง ๆ ครับ
ถ้าเป็นไปได้ หากใครพอมีเวลา ก็ลองคัดลอกการแปลออกมาเป็นบทความบทสนทนาและเรียบเรียง ซึ่งพอได้อ่านผ่านอักษรอีกที มันจะทำให้ได้รับรู้รับทราบอะไรได้อีกเยอะเลยล่ะครับ (แต่ไม่รู้ว่ามีการคัดลอกอย่างที่ว่ากันบ้างแล้วยัง?)..
วิธีการใช้ผ้าคลุมหน้าและร่างกายแบบสตรีมุสลิมตามหลักปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม ไว้พอสังเขป ซึ่งขอหยิบยกมากล่าวถึงในข้อเขียนชิ้นนี้เพียงบางประเภท กล่าวคือ การคลุมฮิญาบ หรือ หิญาบ (Hijab) นิยมกันมากสำหรับมุสลิมไทย เป็นการคลุมแบบปกปิดเรือนผมมาถึงคอ แต่เปิดเผยใบหน้า โดยใช้ผ้าแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนการคลุมแบบนิกอบ (Niqab) เป็นการคลุมหน้าแบบที่เปิดช่วงระหว่างกลางหน้าผากจนถึงกลางใบหน้า ซึ่งเปิดเผยให้เห็นช่วงดวงตาอย่างชัดเจน ส่วนการคลุมชุดแบบบุรก้า (Burqa) เป็นการคลุมร่างกายแบบปกปิดมิดชิดที่สุด โดยผู้แต่งชุดนี้สามารถมองเห็นผ่านทางชิ้นผ้าตาข่ายที่ทำปิดดวงตาไว้เท่า นั้น
เหตุที่หยิบเรื่องการคลุมผ้าปกปิดใบหน้าร่างกายของสตรีมุสลิมขึ้นมากล่าวถึง ก็เพราะเรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหลาย ประเทศ โดยเฉพาะชาติยุโรปที่มีความเห็นแตกต่างกันไป ว่าควรจะปล่อยให้มีการสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ปกปิดใบหน้าร่างกายจนมิดชิด เช่นนี้ในที่สาธารณะต่อไปหรือไม่ ด้วยเหตุผลสนับสนุนแตกต่างกันไปหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ความมั่นคงปลอดภัยในสังคม หรือ ความเท่าเทียมทางเพศ
ตอนนี้ที่มีนำร่องในยุโรปไปแล้วชาติแรกก็คือ เบลเยี่ยม ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายห้ามการสวมใส่บุรก้าและนิกอบของสตรี มุสลิมในที่สาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอให้ร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของ วุฒิสภาเพื่อคลอดเป็นกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ขณะที่เมื่อต้นสัปดาห์ก่อน ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่ไม่ได้มีความเคร่งครัดในเรื่องของการนับถือ ศาสนา แต่เป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในยุโรป คือ 5 ล้านคน ก็กลายมาเป็นชาติที่สองที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบให้ออกกฎหมายห้าม สวมใส่บุรก้าและนิกอบในที่สาธารณะ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ของฝรั่งเศสได้กำหนดบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ชัดเจน เป็นโทษปรับ 150 ยูโร หรือราว 6,300 บาท หรือการถูกส่งตัวเข้ารับการอบรมว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง ส่วนผู้ชายหรือผู้ที่บังคับให้ภรรยาหรือหญิงคนใดสวมชุดคลุมหน้าปกปิดร่าง กายอย่างมิดชิดดังกล่าว จะถูกลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับเป็นเงิน 15,000 ยูโร หรือราว 630,000 บาท ทว่ากฎหมายฉบับนี้จะไม่ครอบคลุมถึงการคลุมใบหน้าในงานรื่นเริงหรือการแสดง ทางด้านศิลปะในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาฝรั่งเศสเพื่อผ่านความ เห็นชอบเสียก่อนในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ และก็เป็นที่คาดหมายว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบไปอย่างไร้ปัญหา
นอกจาก 2 ชาติข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายชาติในยุโรป เช่น สเปน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และอังกฤษ ที่มีการเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกัน
ที่น่าแปลกใจก็คือ ประเทศมุสลิมโดยแท้หลายประเทศ อย่าง ซีเรีย อียิปต์ จอร์แดน เลบานอน และตุรกี กลับมีการออกกฎห้ามหรือไม่ส่งเสริมการสวมชุดปิดคลุมร่างกายมิดชิดแบบสตรี มุสลิมในสถานที่สาธารณะ เช่นในซีเรีย ที่เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงศึกษาได้ออกกฎห้ามนักศึกษาครูอาจารย์สวมใส่นิกอบเข้าไปยังสถานศึกษา ส่วนรัฐบาลตุรกี ก็ออกกฎห้ามชาวมุสลิมสวมผ้าคลุมศีรษะมายังสถานศึกษาเช่นกัน ขณะที่รัฐบาลจอร์แดน รณรงค์ไม่ให้สวมชุดบุรก้าหรือนิกอบด้วยการนำเสนอข่าวกลุ่มอาชญากรที่ใช้ผ้า คลุมใบหน้าเป็นเครื่องมืออำพรางตนเองในการก่ออาชญากรรมต่างๆ
ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ข้างต้นว่าเหตุใดชาติมุสลิมโดยแท้ถึงมีการออกกฎข้อห้าม ที่น่าจะขัดต่อหลักปฏิบัติทางศาสนาบางประการ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะประเทศดังกล่าวเป็นประเทศมุสลิมที่ไม่ได้มีความเคร่ง ครัดทางศาสนานัก จึงอาจมีการอนุโลมหรือยืดหยุ่นในบางเรื่องบางอย่างได้ตามความสมควรและเหมาะ สม ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง อาจเป็นเรื่องของการมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นไปในบริบทที่แตกต่างกันไป
เหตุที่หยิบเรื่องการคลุมผ้าปกปิดใบหน้าร่างกายของสตรีมุสลิมขึ้นมากล่าวถึง ก็เพราะเรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหลาย ประเทศ โดยเฉพาะชาติยุโรปที่มีความเห็นแตกต่างกันไป ว่าควรจะปล่อยให้มีการสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ปกปิดใบหน้าร่างกายจนมิดชิด เช่นนี้ในที่สาธารณะต่อไปหรือไม่ ด้วยเหตุผลสนับสนุนแตกต่างกันไปหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ความมั่นคงปลอดภัยในสังคม หรือ ความเท่าเทียมทางเพศ
ตอนนี้ที่มีนำร่องในยุโรปไปแล้วชาติแรกก็คือ เบลเยี่ยม ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายห้ามการสวมใส่บุรก้าและนิกอบของสตรี มุสลิมในที่สาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอให้ร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของ วุฒิสภาเพื่อคลอดเป็นกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ขณะที่เมื่อต้นสัปดาห์ก่อน ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่ไม่ได้มีความเคร่งครัดในเรื่องของการนับถือ ศาสนา แต่เป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในยุโรป คือ 5 ล้านคน ก็กลายมาเป็นชาติที่สองที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบให้ออกกฎหมายห้าม สวมใส่บุรก้าและนิกอบในที่สาธารณะ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ของฝรั่งเศสได้กำหนดบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ชัดเจน เป็นโทษปรับ 150 ยูโร หรือราว 6,300 บาท หรือการถูกส่งตัวเข้ารับการอบรมว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง ส่วนผู้ชายหรือผู้ที่บังคับให้ภรรยาหรือหญิงคนใดสวมชุดคลุมหน้าปกปิดร่าง กายอย่างมิดชิดดังกล่าว จะถูกลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับเป็นเงิน 15,000 ยูโร หรือราว 630,000 บาท ทว่ากฎหมายฉบับนี้จะไม่ครอบคลุมถึงการคลุมใบหน้าในงานรื่นเริงหรือการแสดง ทางด้านศิลปะในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาฝรั่งเศสเพื่อผ่านความ เห็นชอบเสียก่อนในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ และก็เป็นที่คาดหมายว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบไปอย่างไร้ปัญหา
นอกจาก 2 ชาติข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายชาติในยุโรป เช่น สเปน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และอังกฤษ ที่มีการเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกัน
ที่น่าแปลกใจก็คือ ประเทศมุสลิมโดยแท้หลายประเทศ อย่าง ซีเรีย อียิปต์ จอร์แดน เลบานอน และตุรกี กลับมีการออกกฎห้ามหรือไม่ส่งเสริมการสวมชุดปิดคลุมร่างกายมิดชิดแบบสตรี มุสลิมในสถานที่สาธารณะ เช่นในซีเรีย ที่เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงศึกษาได้ออกกฎห้ามนักศึกษาครูอาจารย์สวมใส่นิกอบเข้าไปยังสถานศึกษา ส่วนรัฐบาลตุรกี ก็ออกกฎห้ามชาวมุสลิมสวมผ้าคลุมศีรษะมายังสถานศึกษาเช่นกัน ขณะที่รัฐบาลจอร์แดน รณรงค์ไม่ให้สวมชุดบุรก้าหรือนิกอบด้วยการนำเสนอข่าวกลุ่มอาชญากรที่ใช้ผ้า คลุมใบหน้าเป็นเครื่องมืออำพรางตนเองในการก่ออาชญากรรมต่างๆ
ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ข้างต้นว่าเหตุใดชาติมุสลิมโดยแท้ถึงมีการออกกฎข้อห้าม ที่น่าจะขัดต่อหลักปฏิบัติทางศาสนาบางประการ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะประเทศดังกล่าวเป็นประเทศมุสลิมที่ไม่ได้มีความเคร่ง ครัดทางศาสนานัก จึงอาจมีการอนุโลมหรือยืดหยุ่นในบางเรื่องบางอย่างได้ตามความสมควรและเหมาะ สม ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง อาจเป็นเรื่องของการมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นไปในบริบทที่แตกต่างกันไป
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
36 VOTES (4/5 จาก 9 คน)
VOTED: เอ๋ง ไม่ดัดจริต, กระซวกดาก, Ployza, ใจมด, ตาตุ้ม, คุณกินเองนะจ๊ะ บีสอง, ลูกสาวอบตกลับมาแล้ว, PRP
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
คลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
ไรเดอร์หื่นแอบจับก้นสาวสวยขณะวิ่งออกกำลัง..อ้างทำไปเพื่อประชดแฟน
ช็อกวงการมวย! “ตะวันฉาย” ขาหักหลังพ่าย TKO ยกแรก
F-16 ไทยถล่มสะพานอูจีก ตัดเส้นทางลำเลียง ของเขมร
เลขเด็ด "หวยปฏิทินจีน" งวดวันที่ 2 มกราคม 69..คอหวยอย่าพลาด!
เขมรมาแปลก! อ้าง "ทหารไทย" ใช้หมาบ้ามาโจมตีทหาร หวั่นมีเชื้อพิษสุนัขบ้า
ทหารกัมพูชา ใช้สไนเปอร์ หวังลอบยิง ผบ.ทหารเรือ
ภาพวาดดินสอดำของเด็กอนุบาล เสียงตะโกนเงียบ ๆ ที่ผู้ใหญ่ต้องฟังให้ได้Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
คลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
ไรเดอร์หื่นแอบจับก้นสาวสวยขณะวิ่งออกกำลัง..อ้างทำไปเพื่อประชดแฟน
ช็อกวงการมวย! “ตะวันฉาย” ขาหักหลังพ่าย TKO ยกแรก
เห็ดพิษใกล้ตัว รู้ทันก่อนเสี่ยงตาย
มหัศจรรย์ "หมอกสีชมพู" เปลี่ยนอังกฤษให้เป็นดินแดนแห่งฝัน วิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามสุดแปลกตา