หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

(ยาวหน่อยนะ แต่รับรองปึ้ก!!!) นิสัยของคนญี่ปุ่นแท้ๆ เรื่องที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับชาวญี่ปุ่น จัดไปฉบับเต็ม

โพสท์โดย Adams Jaidee

นิสัยของคนญี่ปุ่นและประเทศญี่ปุ่น แท้ๆ แบบละเอียด นิสัยผู้หญิงญี่ปุ่น และ ผู้ชายญี่ปุ่น เป็นแบบไหนนะ  มารู้จักกันแบบชัดเจน เจาะลึก สำหรับคนที่ชอบ คนญี่ปุ่น ปิ๊งรักคนญี่ปุ่น หรือ จะไปเที่ยวญี่ปุ่น อ่านที่นี่ที่เดียว จบ

abbr_af0ac6051d2513e15ef85c781ebd2ebc.jpg


           เราควรจะเรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ เพราะจริงๆ แล้ว แต่ละประเทศ จะมีนิสัย ลักษณะความเป็นอยู่ การคบหา การวางตัว วิธีคิด การทำงาน ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เรามารู้จัก นิสัยของคนญี่ปุ่นแท้ๆ กันดีกว่า  ยกตัวอย่าง  ถ้าพูดถึงคนไทย คนต่างชาติ จะบอกว่า ยิ้มง่าย อะไรก็ได้ ขี้เกรงใจ จิตใจดี ด้านเสียก็มี คนญี่ปุ่นก็เช่นกัน ด้านดี ก็มีด้านเสียก็มี เช่นเดียวกับทุกชาติ วันนี้ เรามารู้จัก คนญี่ปุ่นแบบ เมาส์นิสัยคนญี่ปุ่นกันดีกว่า มีคนเคยบอกไว้ว่า  คบกับคนญี่ปุ่นมานาน กับไม่เคยรู้เลยว่า เค้าคิดอะไร หรือ ตอนนี้เราสนิทกันแล้วหรือยัง ถ้าคบในเชิงเพื่อน นะเออ เกริ่นมานานแล้ว ก็ มา อ่านกันดีกว่านะ





ไม่ค่อยสนใจเรื่องชาวบ้าน สนแต่เรื่องของชาวญี่ปุ่นกันเอง
: อย่างเช่นการถ่ายทอดแข่งกีฬาอะไรก็ถ่ายแต่กีฬาที่คนญี่ปุ่นแข่ง (จะไปว่าเค้าก็กระไรอยู่ ค่าออกอากาศมันแพง) อย่างโอลิมปิค กีฬาอะไรที่คนญี่ปุ่นไม่ได้ลงแข่งหรือไม่ได้เข้ารอบก็ไม่ต้องได้ดูกันล่ะ หรือเวลาแข่ง figure skating ก็จะให้ดูแต่ญี่ปุ่นกับคนสำคัญๆ T^T เค้าอยากดูคนอื่นด้วยอ่ะ...

  ใช้รองเท้าเปลือง!
: คือมันชอบให้เปลี่ยนสลิปเปอร์อยู่เรื่อย เข้าตึกก็เปลี่ยนหนึ่งสลิปเปอร์ เข้าห้องน้ำก็ต้องเปลี่ยนอีกหนึ่งสลิปเปอร์ แล้วต้องเรียงสลิปเปอร์ให้สวยงามอีกแน่ะ...


ซดโซบะโฮกๆ!
: อันนี้คนญี่ปุ่นเองก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยเวลาไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นพวกเส้นตามต่างประเทศแล้วรู้สึกบรรยากาศรอบข้างมันประหลาด (เหมือนถูกรอบข้างรังเกียจ) เหตุผลที่ต้องสูดให้มันโฮกๆเพื่อแสดงถึงคงามอร่อยแล้ว เค้าว่ามันจะช่วยดับความร้อนได้ประมาณหนึ่งด้วย (ทุกวันนี้ก็ยังทำไม่ได้)


ทำงานจนตัวตาย
: สงสัยจะมีอยู่ประเทศเดียวที่มีคนตายเพราะทำงานหนักเกินไม่รู้จักพักผ่อน คนญี่ปุ่นจำนวนมากมีวันหยุดก็ไม่รู้จักใช้ (บางคนใช้ไม่ได้ เพราะบรรยากาศในบริษัทประมาณว่า...ห้ามหยุด เค้ามีวันหยุดไว้ตามกฎหมายเฉยๆ)

อ่านบรรยากาศรอบข้างมากเกิน
: เพราะกลัวจะถูกหาว่าเป็นพวก KY (อ่านบรรยากาศไม่ออก ไร้กาละเทศะ) ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง พยายามจะไม่แสดงความคิดเห็นที่มันแตกต่างจากชาวบ้านมาก แสดงความเห็นแบบเกาะกลุ่ม... ว่ากันว่าพวกแบบสอบถามทางสถิติอะไรก็เชื่อถือไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ เพราะหลายคนตอบแบบอ่านบรรยากาศ (ประมาณคิดว่าคนส่วนใหญ่จะตอบแบบนี้เลยตอบด้วย)


ไม่ได้เป็นคนศาสนานั้น แต่อยากจะทำพิธีทางศาสนากับเขา
: คนญี่ปุ่นจำนวนมาก(บอกว่า)นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่ได้เคร่งอะไรเหมือนกับบ้านเรา หลายคนบอกเต็มปากเต็มคำว่าไม่นับถือศาสนาอะไร (คุณฮายาชิก็ไม่มีศาสนา) แต่คนญี่ปุ่นก็จะไปศาลเจ้าตามเทศกาลแบบญี่ปุ่นเช่นฮัทสึโมเดะ (ไปไหว้ศาลเจ้าครั้งแรกของปี) แต่งงานกันแบบคริสตร์ หรือจัดงานศพตามแบบพุทธเป็นต้น หนำซ้ำยังฉลองทั้งคริสมาสตร์ ทั้งวาเลนไทน์กันอีกด้วย...


ส่งของตอบแทน
: เวลาได้รับของอวยพรหรืออะไรก็ตาม ต้องมีการส่งของตอบแทนกันตามมารยาท เงินใส่ซองตามงานต่างๆก็มีการกำหนดไว้อย่างเป็นมารยา่ทตามความสัมพันธ์ของเรากับผู้จัดงาน ของตอบแทนก็เช่นกัน เวลาเราได้รับของอวยพรเนื่องในโอกาสอะไร (เช่นอวยพรเด็กแรกเกิด) ก็ต้องส่งของกลับไปให้ตามมารยาทซึ่งควรจะราคาประมาณ 1 ใน 3 ของของที่ได้รับ (กะๆเอา) ดังนั้นถ้าเราส่งของโคตรแพงไปให้ชาวบ้านก็จะกลายเป็น KY สร้างความลำบากให้คนส่งของกลับซะอีก -_-;

ไม่ร้องเพลงชาติ
: เป็นความเป็นจริงที่ว่าคนญี่ปุ่นจำนวนมากร้องเพลงชาติไม่ได้ @_@; และมีหลายคนที่ไม่ชอบเนื้อหาความหมายของเพลงชาติตัวเอง (เพราะความหมายประมาณว่าจักรพรรดิคือทุกสิ่งทุกอย่าง หลายคนเชื่อว่าเพราะความคิดแบบนี้ที่นำพาให้ญี่ปุ่นต้องเริ่มสงครามโลกครั้งที่สองและพ่ายแพ้สงคราม...)

โดนใครชมแล้วต้องปฏิเสธ
: ในความเป็นจริงคงไม่มีใครโดนชมว่าสวย หัวดี แล้วจะยืดอกรับว่าค่ะ เป็นมาแต่เกิด โฮะๆๆๆ แต่อย่างน้อยขอบคุณก็ยังดี นี่เหมือนกับถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องปฏิเสธว่า ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่า โฮ่ๆๆ (ในใจแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง)

ดอกไม้บางประเภทเอาไปเยี่ยมคนป่วยไม่ได้
: ประมาณเดียวกับที่ไทยที่คงไม่มีใครหอบเอาพวงหรีดไปให้คนนอนป่วยในโรงพยาบาล ที่ญี่ปุ่นจะมีดอกไม้บางประเภท (เช่นลิลลี่) ที่เค้าจะเอาไว้วางให้กับผู้เสียชีวิต และมีช่อดอกไม้ที่ขายเอาไว้ให้บูชาหิ้งบรรพบุรุษที่บ้าน นี่ก็ห้ามเอาไปเยี่ยมคนป่วยเหมือนกัน (คนไทยเองคงไม่มีใึครเอาช่อดอกไม้ไหว้พระหรือพวงมาลัยไปให้คนป่วยเหมือนกันแหล่ะ)

งานเทศกาลโคตรเงียบ...
: -_-; ถ้าพูดถึงงานเทศกาลดังๆของไทยอย่างงานสงกรานต์ ลอยกระทง หรืองานของต่างประเทศเองก็จะมีการร้องรำทำเพลง การเต้น กินดื่มลัลล้าๆ ผู้คนหัวเราะร่า เต้นด้วยกัน... แต่งานญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นการออกร้าน... แล้วคนก็เดินเที่ยวหาของกินกันไปเฉยๆ @_@; งานเทศกาลใหญ่ๆที่มีขบวนรถหรือพาเหรดก็เดินกันเงียบๆแบบไร้เสียงดนตรีประกอบ... (เดินกันทื่อๆอย่างนั้น ห้ามยิ้ม ห้ามโบกมือให้ประชาชน) อย่างมากก็เป็นเสียงร้องรับของหนุ่มๆที่แบกหามขบวนรถ หรือไม่ก็มีเต้นรำแบบพื้นเมืองในขบวนกันเท่านั้น (ตกลงงานสนุกไหมเนี่ย?)

:(โฮมเลสดูมีมาตรฐานชีวิตในระดับหนึ่ง
: เมื่อเทียบกับประเทศอื่น... @_@; ถึงจะดูสกปรกเซอร์ๆแต่ก็มีศิลปะในการสร้างที่อยู่ และมีรสนิยมในการเก็บข้างของเครื่องใช้มาประดับบ้าน (บางอย่างใช้ดีกว่าบ้านตูอีก) ไม่ค่อยมีเหตุร้ายที่เกิดจากการก่อเหตุของพวกโฮมเลสด้วย

:(ผู้หญิงญี่ปุ่นถือกระเป๋าแบบห้อยไว้ที่แขน(แบบที่ป้าๆในไทยชอบถือ)
: อย่าไปดูถูกมาก อยู่ไปนานๆรู้สึกตัวอีกที อ้าว... กรูก็ถือเหมือนกัน -_-;

:(โรงพยาบาลปิดวันอาทิตย์
: และส่วนใหญ่ไม่้ได้เปิด 24 ชั่วโมง พึ่งไม่ได้เล้ยยยย


:(ซื้อของแล้วต้องใส่ถุงเอง

: แต่ก็ดีนะคิดเงินเร็วดี ไม่เปลืองถุงมากด้วยเพราะไม่ใส่ให้กันพร่ำเพรื่อซ้อนแล้วซ้อนอีกเหมือนที่ไทย


:(ต้องมีตัวอย่างของกินให้ดู
: เป็นเอกลักษณ์มากของร้านชาวญี่ปุ่น นับวันจะเหมือนจริงขึ้นทุกวันจนดูไม่ออกว่ามันของจริงหรือของปลอมกันแน่


:(ผัวเมียไม่ค่อยนอนด้วยกัน
: ไม่ใช่ทุกครอบครัว แต่หลายบ้านก็แยกกันนอน (ก็ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เวลานอนไม่พร้อมกัน อุณหภูมิที่ชอบไม่เหมือนกัน) แต่ก่อนก็กังขาแต่พอแต่งงานแล้วรู้สึกว่ามันก็โอเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องนอนด้วยกันประจำหรอก ชอบทำไร ทำยังไงก็ทำไป ต่างคนต่างมีเวลาส่วนตัว สถานที่ส่วนตัวบ้างเป็นดีสุด

:(ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือบนรถโดยสารสาธารณะ
: ทั้งรถไฟและรถเมล์ เหตุเพราะเสียงคุยโทรศัพท์มันทำให้คนอื่นรำคาญ -_-; ประเทศอื่นส่วนใหญ่เค้าไม่ห้าม แต่อยู่ที่นี่ก็ต้องทำตามเค้าไป ห้ามบ่น


:(ห่อปกหนังสือด้วยกระดาษทึบ
: ไปซื้อหนังสือตามร้านหนังสือหลายร้านจะถามว่าจะให้ห่อปกให้หรือเปล่า? ถ้าตอบโอเคทางร้านก็จะห่อปกกระดาษสีน้ำตาลทึบๆที่มักจะเป็นลายของทางร้านมาให้ หนึ่งก็เพื่อรักษาความเป็นไปรเวทของคนอ่าน คนอื่นไม่ต้องมาสอดรู้ดูปกว่าอีนี่อ่านอะไร (แต่กลายเป็นน่าสงสัยเข้าไปใหญ่) อีกเหตุผลก็เพื่อโฆษณาทางร้านไปด้วย

:(เดินขึ้นบันไดเลื่อน
: ใครไม่ยืนชิดข้างเดียวกับคนข้างหน้าเป็นแถวเดียวกันเพื่อให้คนรีบเค้าเดินขึ้นไปก่อน จะโดนตั้งท่ารังเกียจ (ทั้งที่บันไดเลื่อนเค้าไม่ได้ทำไว้ให้คนเดิน) ส่วนใหญ่ฝั่งคันโตจะต้องยืนชิดซ้าย คันไซยืนชิดขวากัน...


:(เปลี่ยนชุดแต่งงานสองสามรอบ

: งานเลี้ยงแต่งงานของญี่ปุ่น เจ้าบ่าวเจ้าสาวมักจะมีการเปลี่ยนชุดประมาณสองรอบ (ภาษาญี่ปุ่นเรียก お色直し โออิโรนาโอชิ) โดยมากชุดแรกจะเป็นชุดเจ้าสาวสีขาว ชุดอื่นจะเป็นสีๆแล้วแต่เจ้าสาวชอบ


:(ชอบซื้อของจากเครื่องขายอัตโนมัติ
: นัยว่ามันคงง่ายและไม่ต้องสนทนากับผู้คน จึงมีเครื่องขายอะไรอัตโนมัติมากมายในประเทศนี้ บางอย่างให้แปลกใจมากว่าจะมีไปทำไม... (ขณะเดียวกันตามต่างจังหวัดก็จะมีร้านค้าแบบไม่มีคนขาย คือมีผักกับราคาวางไว้ ใครจะซื้ออะไรก็จ่ายเงินแล้วหยิบไป เชื่อใจกันสุดๆ)


:(เรียกไฟเขียวว่าไฟฟ้า..
: ตอนไฟเขียวคนญี่ปุ่นจะบอกว่า  青 (สีฟ้า) ดูยังไงก็สีเขียวชัดๆ...


:(ชอบถามกรุ๊ปเลือด
: แล้วก็ทำท่ารังเกียจคนกรุ๊ป B -_-; (คนญี่ปุ่นกรุ๊ป A เยอะสุด และว่ากันว่าเข้ากันไม่ได้กับกรุ๊ป B)


:(
เรียกประเทศแถวบ้านเราว่าเอเชีย
: @_@; บางครั้งคนญี่ปุ่นชอบเรียกประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าเอเชีย อาจจะลืมไปแล้วว่าญี่ปุ่นมันก็อยู่ในทวีปเอเชียเหมือนกัน...


abbr_69b24c5a47be0c655b742f32565d6996.jpg






มารยาทคนญี่ปุ่น
การใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือมารยาท และธรรมเนียมปฏิบัติของญี่ปุ่น เรื่องเหล่านี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้และฝึกจนเป็นนิสัยไปทีละเล็กละน้อย ในการใช้ชีวิตแต่ละ วันที่ญี่ปุ่นเวลานัดกับใครต้องรักษาเวลา เมื่อไปไม่ได้หรือไปไม่ตรงตามนัดต้องแจ้งให้ ทราบล่วงหน้า ถ้าไม่รักษาสัญญาจะทำให้อีกฝ่ายขาดความเชื่อถือ และตอนแรก ๆ คนญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยคุยด้วยเนื่องจายังไม่คุ้นเคยกัน แต่เมื่อสนิทกันแล้วก็จะยอมรับ และเปิดใจมากยิ่งขึ้น คนญี่ปุ่นมักจะมีเพื่อนหลายกลุ่ม ในหนึ่งวันเขาอาจจะพบเพื่อนจากที่โรงเรียน ที่ทำงาน เพื่อนเที่ยวแตกต่างกันไปทั้งวัน ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงดูไม่ค่อยสนิทกันมากนัก และโดยปกติผู้ชายญี่ปุ่นมักจะทำงานหนักไม่ว่าจะก่อน หรือหลังแต่งงาน และมักจะทำงานกันจนดึกจนดื่นจนคล้ายกับว่าไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว เพราะเป็นวัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นก็ว่าได้ที่ทุกคนจะต้องทุ่มเทกับงานให้เต็มที่



1. การใช้ภาษากับระดับความสัมพันธ์

สังคมของคนญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญต่อกลุ่มและสมาชิกในกลุ่มโดยมีสถานที่เป็นตัวบ่งบอกคนที่อยู่อาศัยในที่เดียวกันหรือทำงานในที่เดียวกันนั้นถือว่าเป็นพวกเดียวกันเรียกว่า(อุชิ) และสำหรับคนที่อยู่ต่างสถานที่ต่างบริษัท ต่างประเทศจะถือว่าเป็นคนนอกหรือคนอื่นเรียกว่า(โซโตะ) คนญี่ปุ่นจะใช้ภาษาและการปฎิบัติตนที่แตกต่างไปจากต่อคนที่อยู่ในสังกัดเดียวกัน โดยจะใช้ภาษาที่สุภาพและการถ่อมตนกับผู้ที่เป็นผู้อื่น แม้ว่าตนเองจะไม่รู้สึกยกย่องคนๆนั้นก็ตาม การใช้ภาษาของคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราเห็นลักษณะความสัมพันธ์ของคนญี่ปุ่นในสังคมได้ว่าคู่ที่สนทนาอยู่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ใครอาวุโสกว่าใครหรือสนิทสนมกันแค่ไหนเป็นกลุ่มเดียวกันหรือคนละกลุ่มเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย การใช้ภาษาในการพูดของคนญี่ปุ่นนั้นเมื่อพูดเรื่องของตนเองรวมไปถึงการกล่าวถึงสิ่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับตนเองแล้วคนญี่ปุ่นจะต้องใช้คำถ่อมตนเมื่อพูดกับคนอื่น และคำยกย่องเพื่อยกย่องคู่สนทนาด้วย

การให้ความสำคัญกับบุคคลอื่นในสังคมเป็นลักษณะเด่นของคนญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นเป็นคนระมัดระวังและให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของผู้อื่นอย่างมาก ในการใช้ภาษา การแสดงความใส่ใจของคู่สนทนา เช่นการใช้ถ้อยคำและกริยาต่างๆสอดแทรกเพื่อแสดงความสนใจต่อคู่สนทนา หรือพูดประโยคลอยๆค้างไว้เพื่อให้คู่สนทนามีโอกาศได้สอดแทรกสานประโยคให้จบซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คู่สนทนามีส่วนร่วมในสิ่งที่ตนพูดด้วย หรือการพูดแบบอ้อมค้อมไม่ชี้บ่งบอกอะไรไปตรงๆ หรือละความเอาไว้ให้ผู้สนทนาด้วยคิดเอาเอง และในการสนทนากับคนญี่ปุ่นจะเป็นการเสียมารยาทมากถ้าเราไม่เอ่ยถึงการกระทำของผู้นั้นที่ส่งผลดีต่อเราและต้องใช้สำนวนที่รู้สึกสำนึกบุญคุณต่อการกระทำนั้นๆด้วย เช่นขอบคุณที่ได้เกื้อหนุนอุ้มชูเราอยู่เสมอ หรือ วันก่อนต้องขอขอบพรคุณมาก (อาจจะไม่ได้ทำอะไรให้) แต่เป็นมารยาทที่ควรจะพูดตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่น



2. วิธีการตอบปฏิเสธของคนญี่ปุ่นที่มีลักษณะเฉพาะ

ในการคบหากัน คนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญต่อ “ความสอดประสานกลมกลืนกัน” ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคลเป็นอย่างยิ่ง และด้วยเหตุนี้ คนญี่ปุ่นจึงไม่ชอบที่จะทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์เพราะการปฏิเสธอย่างชัดแจ้ง เช่น เมื่อจะปฏิเสธคำเชิญชวนหรือคำแนะนำ จะเลี่ยงไปตอบด้วยการพูดว่า “chotto…” ซึ่งก็คือ “ออกจะ…” แล้วก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า “ไม่สะดวก” คำว่า “chotto”ไม่ได้ใช้เฉพาะในการเรียกความสนใจเท่านั้น แต่ยังใช้ในเวลาที่อยากจะปฏิเสธด้วย เป็นสำนวนที่สะดวกมากแม้แต่ในสถานการณ์เกี่ยวกับธุรกิจ สำนวนอ้อม ๆ ก็ใช้บ่อย เช่น ในกรณีที่จะปฏิเสธข้อเจรจาทางธุรกิจกับคู่เจรจา สำนวนที่ใช้บ่อยคือ “kentô shitemimasu” ซึ่งมีความหมายว่า “จะลองพิจารณาดู” แต่จริง ๆ แล้ว มีความหมายว่า “กรุณาอย่าคาดหวังการตอบรับ” รวมอยู่ด้วย



3. การโค้ง

การโค้งในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “Rei” (れい/เร) หรือ “Ojigi” (/おじぎ/โอจิกิ) ชาวญี่ปุ่นไม่นิยมไหว้แบบคนไทย หรือจับมือแบบฝรั่ง แต่จะนิยมโค้งแทนในเวลาที่พบหรือลา ประเพณีการโค้งของคนญี่ปุ่นนับว่าซับซ้อนพอควร เช่น การโค้งควรจะต่ำเพียงไรและโค้งได้นานเท่าไร หรือโค้งเป็นจำนวนกี่ครั้ง และโค้งในโอกาสอะไร เช่น ผู้อาวุโสก้มให้ลึก แต่ถ้าระดับเท่ากันโค้งพองาม นอกจากโค้งเวลาพบกันหรืออำลาจากกันแล้ว สามารถโค้งเมื่อต้องการขอบคุณ

การโค้งทักทาย (Eshaku/えしゃく/ อิชิคุ) คือ การทักทายกับผู้ที่สนิทแบบเป็นกันเอง วิธีการคือ ก้มตัวทำมุมประมาณ 15 องศา

การโค้งเคารพแบบธรรมดา (Futsuu Rei/ふつう/ ฟุสึยุ) คือ การทักทายกับผู้ที่เรารู้จัก หรือพนักงานขายกับลูกค้า วิธีการคือ ก้มตัวประมาณ 30 องศา

การโค้งเคารพแบบนอบน้อม (Saikei Rei/さつうれい/ ซาอิเครอิ เรอิ) คือ การให้ความเคารพกับผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า หรือเจ้านายที่มีตำแหน่งสูง วิธีการคือ ก้มตัวประมาร 45 องศา กับแนวเส้นตรง

4. รับเชิญไปบ้านคนญี่ปุ่น

เมื่อคุณได้รับเชิญไปบ้านคนญี่ปุ่น นับว่าเป็นเกียรติมาก เพราะคนญี่ปุ่นจะคิดว่าบ้านตนเองเล็กคับแคบและไม่ค่อยจะรับแขกที่บ้าน แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง ดังนั้นร้านอาหาร กาแฟ จึงเป็นที่นิยมมาก เมื่อคุณได้รับเชิญแล้วอย่าลืมนำของฝากเล็กๆน้อยๆติดมือไปฝากเจ้าของบ้านด้วย อาจเป็นผลไม้ ดอกไม้ ขนม เพื่อแสดงถึงน้ำใจ หากเป็นการเชิญรับประทานอาหารคุณอาจซื้อเป็นเหล้าไปฝาก เพราะที่รู้ชายและหญิงมักนิยมดื่มสุรา อย่านำเพื่อนตามไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นโดยไม่ได้รับเชิญ เจ้าของบ้านจะอึดอัดและเป็นการไม่สุภาพ หลังจากไปเยี่ยมบ้านเขาแล้วอย่าลืมโทรศัพท์หรือส่งจดหมายไปขอบคุณ และเมื่อพบกันครั้งต่อไป อย่าลืมขอบคุณที่เขาเคยชวนไปบ้าน

large.jpg

5. มารยาทเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่น

เมื่อไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่ สิ่งที่ควรระวังก็คือเวลา ไม่ควรจะเยี่ยมบ้านตอนเวลาทานอาหาร นอกจากว่าเจ้าของบ้านชวนให้มาทานอาหารกันที่บ้าน คนญี่ปุ่นถือว่าการเยี่ยมบ้านคนอื่นตอนเวลาทานอาหารเป็นสิ่งที่เสียมารยาท ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเยี่ยมก็คือตอนสายๆหรือตอนบ่าย ไม่ควรเป็นตอนเย็นมากด้วย เพราะแม่บ้านเขาคงจะต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็น ถ้าโดยบังเอิญไปถึงบ้านเขาในขณะเขาทานอาหารอยู่พอดี เราก็ควรจะบอกว่า Oshokuji chuu ni ojamashite moushiwake arimasen (ขอโทษที่รบกวนเวลาทานอาหาร) และควรจะรอที่ห้องอื่น ตามปกติเจ้าของบ้านก็จะไม่ชวนกินข้าวด้วยกัน (อันนี้ไม่เหมือนกับเมืองไทย) เพราะว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เตรียมอาหารอย่างดีสำหรับแขก และตามปกติคนที่จะเยี่ยมก็ต้องทานข้าวให้เสร็จมาก่อนที่จะเยี่ยมอยู่แล้ว

ตอนไปเยี่ยมบ้านผู้ใหญ่ ควรจะนำของฝากสักอย่างก็ถือว่าเป็นมารยาทดี ตามปกติแล้วของฝากในกรณีเยี่ยมบ้านคนอื่น ควรเป็นขนมแบบที่ใส่ในกล่องสวย(ไม่ใช่ที่ใส่ในถุงพลาสติกธรรมดา) หรือขนมแค้ก ที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีร้านขายขนมแบบสวยงามที่ใส่กล่องดีๆเยอะ เพราะว่าในมารยาทญี่ปุ่นก็จะมีโอกาสใช้กันบ่อย ซึ่งขนมแบบนี้ไม่ใช่เป็นขนมสำหรับผู้ซื้อเพื่อกินเอง แต่สำหรับของฝากในการเยี่ยมคนอื่นมากกว่า



6. รองเท้า

คนญี่ปุ่นถือเรื่องเท้าคล้ายคลึงกับคนไทย เช่น ห้ามสวมรองเท้าในบ้าน วัด โรงแรมแบบญี่ปุ่น (りょかん/Ryokan ) รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ ร้านหรือห้องอาหารบางแห่ง โดยปรกติแล้วจะมีการเตรียมรองเท้าแตะไว้ให้ก่อนเข้าบริเวณที่ห้ามสวมรองเท้า แต่ถ้าเป็นพื้นที่ปูเสื่อตะตะมิ แม้รองเท้าแตะก็ต้องถอดก่อนขึ้นไปนั่งหรือเดิน ให้ถอดรองเท้าไว้ที่เกงคัง (บริเวณหน้าบ้าน สำหรับไว้ถอดรองเท้าก่อนขึ้นบ้าน) โดยให้ปลายรองเท้าหันไปทางด้านประตูเท่านั้น นอกจากนี้เวลาเข้าห้องน้ำจะมีรองเท้าแตะที่จัดไว้ใช้เฉพาะสำหรับห้องน้ำ



7. มารยาทบนโต๊ะอาหาร

การเรียนต่อญี่ปุ่นนั้น นักเรียนอาจมีโอกาสได้เข้าร่วมรับประทานอาหารกับชาวญี่ปุ่น ดังนั้นการเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาไว้เป็นความรู้ที่ติดตัวไปด้วย

ก่อนเริ่มรับประทานอาหารทุกครั้ง   นักเรียนจะต้องพูดคำว่า   いただきます Itadakimasu  และพูดคำว่า  ごちそうさまでした Gochisousama deshita เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว การพูดคำนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมที่ต้องทำและมีความหมายในเชิงขอบคุณ ซึ่งตามปกติชาวญี่ปุ่นถือว่าการเริ่มทานข้าวก่อนคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าบ้านเป็นสิ่งที่เสียมารยาท

ขณะรับประทานอาหาร  คนญี่ปุ่นมักจะพูดคำว่า  Oishii  ซึ่งแปลว่าอร่อย  เพื่อชมผู้ปรุงอาหารและถือเป็นการขอบคุณด้วย

ตามมารยาทของคนญี่ปุ่นแล้ว  ควรจะทานข้าวให้หมดชาม ถ้าเป็นอาหารชุดก็ควรจะทานทุกอย่าง  ยกเว้นแต่ว่าจะทานไม่ไหวแล้วจริง ๆ  และก่อนเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบหรือเก็บอะไร  ควรจะขออนุญาตจากครอบครัวก่อน

ชาวญี่ปุ่นนั้นแทบทุกบ้านจะใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร

japanese-street-fashion-school-girl.jpg


การปฎิบัติเหล่านี้บนโต๊ะอาหารเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

1. การกำตะเกียบเป็นกิริยาที่ไม่ดี

2. การจับตะเกียบและถ้วยข้าวด้วยมือเดียวกัน

3. “ โยเซบาฉิ” (よせばし)การเลื่อนชามไปข้างหน้าด้วยตะเกียบ (จะโยกย้ายอะไรก็ใช้มือให้สุภาพเข้าไว้)



4. “ ซึคิบาฉิ” (すきばし)การเสียบอาหารด้วยตะเกียบ



5. “ ซากุริบาฉิ” การเลือกอาหารที่มีรสอร่อย หรือน่ากินในจานอาหาร (อย่าลืมว่าใครๆก็อยากรับประทานของอร่อยในจานเหมือนกัน อย่าเผลอเลือกรับประทานคนเดียวจนหมด)

6. “ มาโยอิบาฉิ”(まよいばし) การถือตะเกียบจดๆจ้องๆไตร่ตรองถึงสิ่งที่จะรับประทานอาหารบนโต๊ะอาหาร (หรือพูดง่ายๆว่าก็เล็งรับประทานอะไรไว้ก็มุ่งหนีบรับประทานซะดีกว่า เลือกไปเลือกมาดูเหมือนจะทิ้งของที่ไม่อร่อยให้คนอื่นรับประทาน ชาวญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เก็บความรู้สึก ถึงอยากรับประทานก็ต้องมีมารยาทไว้ก่อน)

7. การเสียบตะเกียบไว้บนข้าวก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปฎิบัติ

8. ห้ามหยิบตะเกียบจนกว่าผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งจะหยิบขึ้นมาก่อน

9. ห้ามขูดเม็ดข้าวจากตะเกียบ

10. ห้ามทานอาหารจากซุปโดยไม่ยกชามซุปขึ้นจากถาด

11. ห้ามตักอาหารจากจานซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกฟากหนึ่งโดยที่ไม่ยกจานขึ้นมา

12. ห้ามยกจานทางขวามือด้วยมือซ้าย หรือยกจานทางซ้ายมือด้วยมือขวา

13. ห้ามหยิบอาหารที่มีซอสเหลวๆวางบนข้าว หรือทานข้าวราดน้ำซอส

14.  ห้ามหยิบและกัดอาหารซึ่งไม่อาจจะทานได้ในคำเดียว ขอให้แบ่งเป็นชิ้นเล็กๆด้วยตะเกียบ

8. การแชร์กันออกค่าอาหาร


คนญี่ปุ่นก็จะมีการแชร์กันออกค่าใช้จ่ายในการรับประทาน อาหารเช่นกันเหมือนกับคนอเมริกาเช่นกัน

9. การส่งเสียงดัง

ในเมืองใหญ่บางคนมีความรู้สึกไวโดยเฉพาะต่อเสียงต่างๆ ที่เกิด ขึ้นในชีวิตประจำวันและไม่ใจกว้างยอมรับแม้แต่เสียงที่เด็กทำขึ้นจึงขอให้ ระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าอาศัยอยู่ที่บ้านพักรวมอย่างเช่น อพาร์ตเมนท์ โดยทั่วไปหลัง 22:00 น. พยายามอย่าส่งเสียงดังให้คนข้าง บ้านได้ยิน บางคนทำงานตอนกลางคืน และนอนพัก ตอนกลางวัน จึงเป็นเวลาสำคัญสำหรับพวกเขา มีบางครั้งสำหรับตัวเองเสียงอาจไม่ดัง แต่โครงสร้างอาคารอาจทำให้เกิดเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ โดยเฉพาะ การ ใช้เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า การเข้าออก การเปิดปิดประตูในตอนกลางคืน ขอให้ระวังเป็นพิเศษ ถ้ามีปัญหาเรื่องเสียงรบกวน กรณีบ้านพักรวม แจ้งกับ เจ้าหน้าที่อสังหาริมทรัพย์ที่ทำสัญญาเช่า นอกเหนือจากนี้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่สมาคม ปกครองตนเอง (จิชิคะอิ)


abbr_57b2f52384e275e7cadec55b1fe25913.jpg

ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่น (ขี้เกรงใจ รักษาน้ำใจ)

     มนุษย์เงินเดือนของผู้ชายชาวญี่ปุ่นทั่วไป เตี้ย ตาตี่ ปากเล็ก ขี้อาย ไม่กล้าแสดงความรู้สึก และการประชุมในญี่ปุ่นจะไม่มีกำหนด เมื่อหลังจากประชุมเสร็จ ลูกน้องก็ไม่กล้าปัดที่เจ้านายจะชวนไปดื่มต่อ นิสัยขี้เกรงใจของชาวญี่ปุ่นมักจะทำให้คนอื่นที่เป็นต่างชาติ ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว สมมุติเช่น คุณทำอาหารหรือขนมอะไรก็ได้ให้เขากิน พอเขากินแล้ว ถ้าอาหารนั้นอร่อยหรือไม่ก็ตาม เขาก็จะพูดว่า "โออิชิ" ตลอดๆ เพื่อรักษาน้ำใจของคุณ สืบมาว่า ที่คนญี่ปุ่นรักษาน้ำใจได้ดีขนาดนี้ ก็เพราะเมื่อพูดตรงไปจะทำให้บรรยากาศในช่วงนั้นชืดมืดเลยทีเดียว และจะไม่ไว้หน้าคนที่ทำเป็นอย่างยิ่ง จะดีไม่ดีก็ต้องรักษาน้ำใจไว้ก่อน มาวิจารณ์ทีหลังว่าไม่อร่อยเมื่อพ้นจากคนทำก็ว่ากันอีกที

* ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวญี่ปุ่น ถ้าเขาพูดลักษณะเกรงใจกันแบบนี้ เขาอาจจะหมายถึง..

    - เช่น -

    1. เมื่อคุณชวนเขามาเที่ยวที่บ้าน ถ้าบ้านคุณคนเยอะและมีเด็กซุกซนส่งเสียงเจ๊าะแจ๊ะ ถ้าเขาพูดว่า "บ้านคุณคนคึกคักจังเลยนะ อบอุ่นจัง" แต่ในใจเขาจะมีความหมายตรงกันข้ามคือ "รำคาญชะมัด ทำงานมาเหนื่อยๆยังต้องมาเจอคนพวกนี้อีก"

    2. ถ้าคุณชวนเขาไปเที่ยว ถ้าเขาพูดว่า " อืม ขอคิดดูก่อนนะ ฉันอาจจะไปก็ได้ " นั้นคุณก็คิดไว้ได้เลยว่า "เขาไม่ไป"


สายตาคนญี่ปุ่น ทุกอย่างในโลกต้องมีคำว่า "คาวาอิ" (น่ารัก)

   แม้แต่ก้อนหินริมทางที่ตกอยู่กลางถนน เขาพบแล้วก็ไม่วานที่จะพูดว่า "คาวาอิ" ได้ แล้วเอามาถ่ายรูปกันยกใหญ่ โอ้แปลกจุง ไม่มีอะไรที่ไม่มีคำว่า น่ารัก ในสายตาคนญี่ปุ่น ขนาดคุยกัน คู่สนทนาเป็นหวัดเสียงแหบแห้ง คนญี่ปุ่นยังต้องพูดว่า "เป็นหวัดสิท่า เสียงน่ารักจังเลย" และไม่ว่าคุณจะทำอะไรออกมาก็ตาม ไม่ว่าผลงานนั้นจะสวยไม่สวย เขาก็จะพูดว่า "คาวาอิ" ของทุกอย่างที่คนญี่ปุ่นจะดู ต้องพูดคำว่า "คาวาอิ" ก่อนที่หยิบขึ้นมาดู และถ่ายรูปกันยกใหญ่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศญี่ปุ่น ถึงเหมือนดินแดนการ์ตูน และมีสิ่งของน่ารักๆกันตรึม ก็เพราะมาจากคำว่า "คาวาอิ" นั่นแหล่

     (ตัวอย่าง)   คนนิโกรแต่งชุดคอสเพลย์ - "คาวาอิ"                    

                      คนฟันหลอ ฟันผุ ฟันดำ - "คาวาอิ"

                      หน้าตาโกธรจัด ขมวดคิ้ว - "คาวาอิ"           

                      หกล้มจนเป็นแผลและติดพลาสเตอร์ลายการ์ตูน - "คาวาอิ"

                      ทำอะไรก็ตามที่แหวกแนว - " คาวาอิ"



      ผมไปสืบมา ขนาดคนญี่ปุ่นส่งเมล์คุยกันในลักษณะแบบนี้ ยังต้อง "คาวาอิ"

      A : ตอนนี้แฟนเธออยู่ไหม ?

      B : อ๋อ ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงน่ะ !!

      A : เอ๋ะ เขาคงเหนื่อยสินะ

      B : 555+ ใช่แล้ว นอนจนน้ำลายหยึดล่ะ เสียงกรนดังอย่างกับหมูร้อง

      A : "คาาาาาาา วาาาาาาาาา อิ" ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ

ผู้หญิงญี่ปุ่น (วัยรุ่น / แม่บ้าน / นางเอก AV)

     1.1 ) หากเป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิงญี่ปุ่น จะใส่บิ๊กอายส์ ถือกระป๋าแบรนด์เนม และมักหมกมุ่นอยู่กับการลดน้ำหนักวันหยุดทีไรจะนัดกันออกมาเดินช๊อปปิ้ง กินไอศกรีม ฯลฯ พวกเธอทำงานประจำเป็นชิ้นเป็นอัน หารายได้พิเศษและนำเงินนั้นมาอัพเดตแฟชั่น ซื้อชุดคอมเพลย์บ้าๆบอๆมาแต่งด้วยเงินส่วนตัวของพวกเธอเอง ไม่มีการขอจากพ่อแม่

     1.2) แม่บ้านชาวญี่ปุ่น หลังจากแต่งงานมาแล้ว จะเปลี่ยนนามสกุลทันทีตามผู้ชาย และต้องลาออกจากงานประจำมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว งานทุกอย่างในบ้าน พวกเธอต้องทำหมด ตั้งแต่สากกระบือยันเรือรบ ซื้อของ ทำกับข้าว แม้แต่ค่าใช้จ่ายในบ้าน พวกเธอยังต้องดูแล และบางครั้งก็จะจับกลุ่มเม้าส์มอยกับแม่บ้านใกล้ๆกันเมื่องานเสร็จ

     1.3) นางเอก AV ถ้าใครถามคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง ด้วยคำว่า " ขอโทษนะครับ คุณมีเพื่อนหรือคนรู้จักเคยถ่าย AV บ้างไหม ?" คำตอบที่ได้กลับมาคือ สีหน้าเธอจะเปลี่ยน และเธอจะโกธรคุณมาก และจะไม่ยอมคุยกับคุณสักระยะ อย่างน้อยสุดก็ 2-3 วัน และที่น่าตกใจคือ เธอจะกลับมาให้คำตอบกับคุณทีหลังว่า "เคย อยากดูซีดีของเพื่อนเธอไหมล่ะ " !!!!!! เธอคงอยากจะตอบให้คุณให้หายข้องใจ หรือที่ว่า "ถ้านายอยากรู้นัก ฉันก็จะตอบให้" 555+


โตเกียว (ชั่วโมงเร่งด่วน)

    ทางเท้า โตเกียวคือเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเทียบพื้นที่ 180 ตารางกิโลเมตร ถ้าในอเมริกา คนจะอยู่ได้ 1 คน แต่เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นจะอยู่ได้ 11 คน ทุกๆชั่วโมงเร่งด่วน คนญี่ปุ่นจะข้ามถนนพร้อมกัน 3000 คน คนต่างชาติที่หลงอยู่ในนั้น ยังต้องงงว่า ตกลงจะเดินไปกับใครดีหว่า เดินแบบเหมือนฝูงปลาแหวกว่ายกันกลางถนน ไม่รู้ทิศทาง ทางที่ดีคือ มีแผ่นที่ ที่ช่วยคุณได้

     ทางรถไฟฟ้า ชั่วโมงเร่งด่วนในรถไฟฟ้า ถ้าใครจะไปเที่ยวในญี่ปุ่น กรุณาหลีกเลี่ยงที่จะนั่งรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วนของที่นี้จะดีกว่ามาก เพราะคนจะหนาแน่นเบียดเสียดอย่างกับปลากระป๋องยัดขวด ยัดกันแบบนั้นเกือบ 30 นาที หายใจไม่ออก เผลอๆ อาจจะโดนเหยียบเท้าจนบวมเที่ยวไม่สนุกกันไปเลยทีเดียว ยิ่งเป็นผู้หญิงขอให้ระวังพวกโรคจิตจะจับก้นคุณได้ซะดื้อๆ

อาหารการกิน

   ญี่ปุ่นมีอาหารทุกประเภท แต่ผลิตในประเทศแค่ร้อยละ 40 จำต้องนำเข้าส่วนหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นกินได้เท่าที่อยากกิน และทิ้งเท่าที่กินไม่หมด จึงมีของเสียจากอาหารกว่า 23 ล้านตันต่อปี มากกว่า 4 เท่าของอาหารที่จะกินในแต่ละปี ในจำนวนนี้ของอาหารที่กินไม่หมด จะถูกส่งไปให้ประเทศที่ยากจน 5.9 ล้านตันต่อปี และส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจำพวกสำเร็จรูป

     - น้ำ แม้ญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ และมีน้ำดื่มพอเลี้ยงประชากรของประเทศได้เหลือเฟือ แต่ยังนำเข้าน้ำแร่จากยุโรป 580,000 กิโลลิตรทุกปี หรือประมาณ 1,160 ล้านขวดต่อปี (รวยกันจริงๆประเทศนี้)

     - ซูชิ สายพานซูชิตอนนี้มีทุกอย่างของอาหารญี่ปุ่น ทั้งซูชิ เนื้อย่าง พุดดิ้งด้วย ไม่รู้ทำไม เนื้อปลาทูน่าทั้งหมด 1.9 ตันทั่วโลก แต่ชาวญี่ปุ่นชาติเดียวก็บริโภค 710,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเนื้อทูน่าที่ประชากรทั้่วโลกบริโภค จึงทำให้ปลาทูน่าเป็นปลาที่จะถูกจัดเป็นปลาทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ในเร็วๆนี้ ไม่เฉพาะทูน่า ยังมีปลาวาฬ และปลาทะเลอื่นๆเริ่มใกล้จะหมดไปในทะเลชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อรู้การณ์ถึงอนาคตจะไม่มีปลากิน รัฐบาลเลยส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าและปลาต่างๆในกระชังทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นยังใช้ตะเกียบ 23,000 ล้านคู่ต่อปี หรือคนละ 200 คู่ต่อปี ซึ่งมากว่าชาวจีนถึง 3 เท่า


เทคโนโลยี

   แม้ญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีล้ำโลกเท่าเทียมกับอเมริกา แต่ขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นยังรักษาขนมธรรมเนียมดั้งเดิมของตัวเองเป็นอย่างดีเยี่ยม ถึงญี่ปุ่นจะคิดค้นชักโครกโดยควบคุมด้วยปุ่มสารพัด แต่โถส้วมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เขาก็ยังนิยมใช้เหมือนกัน ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น จะกลายเป็นหุ่นยนต์ซะเต็มตัวก็ไม่ปาน ตั้งแต่เช้ายันนอน เทคโนโลยีมาประคองไว้ก็เหอะ

ชื่อ และนามสกุลญี่ปุ่น

   คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่นับถือธรรมชาติ หรือลัทธิชินโต เพราะฉะนั้น ชื่อของคนญี่ปุ่นจะออกมามีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติซะส่วนใหญ่ เช่น ทานากะ ยามาดะ ซูซูกิ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งมีความหมายแฝงคือ ต้องมีความเป็นธรรมชาติอยู่ในนั้น เช่น น้ำตก ทุ่งนา ภูเขา หาดทราย เป็นต้น

    แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าถามคนญี่ปุ่นว่ากลัวอะไรมากที่สุด ก็คงตอบว่ากลัวธรรมชาติอยู่ดีนั้นแหล่ เพราะชีวิตจริงเจอมาเยอะ ทั้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ สึนามิ ไต้ฝุ่น ฯลฯ


มารยาท (ก้มหัวคำนับจนลูกค้าจากไป)

   คนญี่ปุ่นถูกขัดเกลามารยาทมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีมารยาทดีอันดับต้นๆของโลก พื้นฐานนิสัยของคนญี่ปุ่นคือ ชอบให้ใฝ่ตรงข้ามนับถือตนด้วย มารยาทก็เป็นการเช็กกันคบหาของคนที่นี้ ถ้าคุณมีนิสัยไม่พึ่งประสงค์กับเขา เขาจะค่อยๆหักคะแนนการคบหาคุณไปทีละน้อยๆ จนต้องขึ้นบัญชีดำ แล้วหลังจากนั้น เขาจะกลายเป็นคนละคน จากที่สนิทสนมกับคุณ จะกลายเป็นคนเย็นชาเหมือนไม่รู้จัก

     และมารยาทของคนที่นี้ยังถูกนำไปใช้กันในชีวิตประจำวัน เช่น การต้อนรับลูกค้า คุณไปซื้อของกับร้าน พนักงานจะออกมายืนอยู่หน้าร้านโค้งคำนับคุณจนลับสายตา และในกรณีของโรงแรมก็เช่นเดียวกัน ถึงคุณจะขึ้นรถบัสแล้วก็เหอะ เขาก็จะยืนรอโค้งคำนับคุณจนลับสายตา ถึงจะติดไฟแดงก็ตาม เมื่อเขายังเห็นคุณ เขาก็ยังยืนอยู่คำนับแบบนั้น จนคุณจะผ่านไปจากตรงนั้น

สถิติการฆ่าตัวตาย

   ในแต่ละปี จะมีการจัดอันดับประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ฆ่าตัวตายสูงที่สุดในกลุ่ม ในแต่ละปีที่หลังภูเขาฟูจิจะมีศพการฆ่าตัวตาย 200 ศพ หรือมากกว่านั้นทุกปี แต่วิธีการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นที่ฮิตกันสุดๆก็คือ กระโดดลงลางรถไฟ (แต่คุณอย่าคิดว่าเมื่อฆ่าตัวตายในรถไฟแล้ว คุณจะหนีรอดคนเดียว แต่คนที่จะเดือดร้อนก็คือญาติๆของคุณ ที่จะต้องถูกจับมาสอบสวนและต้องปรับจ่ายค่าเสียเวลา ค่ารักษาความสะอาดให้กับสถานีนี้อีกด้วย)
   

abbr_b48c6823618529c40506c828bd824871.jpg

มีรายงานการสำรวจ 46 อย่างของคนญี่ปุ่นที่คนต่างชาติเห็นแล้วตกใจ ...

1. รถไฟมาตามเวลา ที่เรียกว่าตามเวลาที่บอกน่ะ รถไฟปิดประตูแล้วนะ ถ้าเรามาตรงเวลาในตารางเวลารถไฟ แปลว่าเราตกรถแน่นอน
2. ผลไม้อร่อย (มีการพัฒนาพันธุ์ให้มีรสชาติอร่อย) ขนาดมะเขือเทศ ยังมีอาจารย์คนไทยมาแล้วขอไปซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อกลับไทย บอกว่ามะเขือเทศที่ญี่ปุ่นหวานดี ผลไม้อื่นๆก็ไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะสตอเบอร์รี่ของญี่ปุ่น อร่อยเป็นที่สุด
3. ขนมปังในร้านสะดวกซื้ออร่อย อันนี้จริงแน่นอน โดยเฉพาะเปรียบเทียบกับขนมปังในร้านสะดวกซื้อในไทย
4. ประตูรถแท็กซี่เปิดปิดเอง (ประตูเปิดปิดอัตโนมัติ) แรกๆก็เผลอใช้มือปิดไปหลายทีเหมือนกัน
5. มีโอกาสได้ของที่ทำหล่นหายคืนสูง เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้คนต่างชาติพอสมควร เพราะถ้าเป็นบ้านเรา ไม่ต้องคิดเลย
6. ทานไก่เคนตั๊กกี้ในวันคริสมาส เอ อันนี้คนไทยคงไม่ตกใจเท่าไรมั้ง เพราะวันคริสมาสกะเราก็ไม่ค่อยเกี่ยวกันอยู่แล้ว
7. ตู้ขายของอัตโนมัติมีทุกซอกทุกมุม คงไม่มีชาติใดที่มีตู้ขายของอัตโนมัติ(โดยเฉพาะขายน้ำ)เยอะเท่าญี่ปุ่นอีกแล้ว
8. ตู้ขายของอัตโนมัติขายของหลากหลายอย่าง รวมทั้ง เหล้าและบุหรี่ อันนี้ถ้าเป็นประเทศไทยคงไม่ผ่านเป็นอันแน่
9. โถส้วมเป็นระบบฉีดชำระอัตโนมัติ (washlet) เรื่องสิ่งประดิษฐ์เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันต้องยกให้ญี่ปุ่น
10. น้ำประปาดื่มได้ อันนี้คนจากประเทศพัฒนาแล้วอาจจะไม่ตกใจเท่าไร คนจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยก็ยังต้องใช้เครื่องกรองหรือต้องต้มก่อนกิน เพราะยังไม่ชิน


1.jpg




11. น้ำชาไม่หวาน โดยเฉพาะคนไทยต้องตกใจมากๆแน่ เหมือนกับที่คนญ๊่ปุ่นเจอน้ำชาเขียวหวานๆของไทยไป ช้อคไปตามๆกัน
12. ในร้านอาหารสูบบุหรี่ได้ อันนี้ทุกๆชาติตกใจ ปัจจุบันก็มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น คือ มีการแบ่งพื้นที่ “สูบบุหรี่” กับ “ไม่สูบบุหรี” แต่หลายที่ไม่มีการกั้นด้วยผนังหรือประตู กลิ่นบุหรี่ก็ยังกระจายมาถึงเขตไม่สูบบุหรี่อยู่ดี
13. ในซุปเปอร์มาเก็ตมีอาหารให้ชิมมากมาย ชิมกันจนอิ่ม เรียกว่าไม่ต้องกินข้าวมื้อนั้นยังได้
14. ทางด่วนต้องเสียค่าบริการ เอ คนที่ตกใจมาจากประเทศใดเนี่ยที่ทางด่วนไม่ต้องเสียตังค์
15. เค้กที่ขายตามร้านเค้กมีการตกแต่งสวยงามจนถึงขั้นเรียกว่าเป็นงานฝีมือได้ อันนี้คนจากทุกประเทศซูฮกฝีมือคนญี่ปุ่นในเรื่องนี้กันอย่างถ้วนทั่วหน้า สวยและน่ากินขนาดทำให้คนที่ไปเรียนแต่ปีเดียวน้ำหนักขึ้นมา 10 ก.ก.ได้
16. ทางด่วนในโตเกียวช่างคดเคี้ยวเหลือเกิน
17. ในร้านอาหารสไตล์มาทานเป็นครอบครัว (family restaurant) มีปุ่มกดเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์ เยี่ยม ! ไม่ต้องตะโกนเรียก
18. ในร้านกินดื่ม มีเมนูเป็นเครื่องที่เป็น touch screen ไว้ดูเมนูและสั่งอาหารและเครื่องดื่มได้เลยโดยไม่ต้องเรียกพนักงาน เยี่ยมกว่าข้อที่แล้วอีก ร้านกินดื่มยิ่งคนเยอะและเสียงดังอยู่ด้วย มีเครื่องนี้เครื่องเดียวสบายใจเฉิบ แต่ปัญหาคือต้องอ่านภาษาญี่ปุ่นออก อืม ตัวใครตัวมัน
19. เหรียญ 5 เยน และ 50 เยน มีรูตรงกลาง จำได้ว่าไม่ตกใจ เพราะสมัยประถม เรียนเกี่ยวกับเหรียญพดด้วง ก็จำได้ว่ามีรูตรงกลางเหมือนกัน สงสัยประเทศอื่นๆไม่มี
20. ทิชชู่ได้รับแจกฟรีมากมาย แรกๆก็ดีใจ มีทิชชู่ใช้ฟรี แต่นานๆไปก็ไม่ไหว ถ้ารับมาหมดได้กองเต็มบ้านแน่เลย


21. ของในร้าน 100 เยน มีมากมายและหลากหลาย เรียกว่าสามารถใช้ชีวิตด้วยของร้านร้อยเยนเท่านั้นก็ได้ อันนี้เรียกว่าคนไทยเราไม่ต้องบินไปถึงญ๊่ปุ่นก็เห็นแล้วว่าของในร้านร้อยเยน ซึ่งก็คือร้าน Daiso หรือร้านยี่ห้ออื่นๆที่เข้ามาบุกตลาดบ้านเรานั้น มีของมากมายขนาดไหน เดินดูกันเป็นวันๆก็ไม่หมด
22. คนญี่ปุ่นชอบ Yahoo มากกว่า อันนี้จริง ตามข้อมูลที่ได้รับการสำรวจ
23. ถ้าเช่ารถก็จะมีเครื่องนำทาง (car navigator) ติดตั้งอยู่ในตัวรถมาด้วยเสมอ บริการยอดเยี่ยม สมเป็นญี่ปุ่น
24. เอากระเป๋าจองที่นั่งไว้ได้ ไม่มีใครขโมยไป แต่เดี๋ยวนี้ คงต้องระแวงมากขึ้น แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นก็ยังทำแบบนี้กันเยอะ
25. เครื่องดืมขนาด S มีขนาดเล็กมาก สงสัยนี่จะเป็นความคิดเห็นของคนอเมริกัน
26. สายไฟที่ระโยงระยางบนท้องถนนมีจำนวนมากเหลือเกิน อันนี้สำหรับคนไทยคงไม่แปลก เพราะบ้านเราก็เหมือนกัน
27. ต่อแถวเวลารอขึ้นรถไฟ อันนี้บ้านเราก็พัฒนาเป็นแบบเขาแล้ว ถึงแม้จะเป็นแค่รถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินก็ตาม น่าภูมิใจจริงๆ
28. ฝารองนั่งโถส้วมอุ่น ยิ่งเวลาหน้าหนาว รู้สึกขอบคุณมันมากๆ ทำให้เวลาเข้าห้องน้ำมีความสุขขึ้นอีกเยอะ
29. ราคาตั๋วหนังแพง แพงขนาดว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องชวนกันไปดูหนัง ดูทีรอบละ 1,800 เยน หรือประมาณ 700 บาท ถ้าอยากดูในบรรยากาศโรงหนังจริงๆ แต่ขอประหยัดหน่อยก็รอวันพุธที่ลดเหลือ 1,000 เยน หรือประมาณ 400 บาท ก็ยังแพง
30. ร้านปาจิงโกะมีให้เห็นเป็นระยะๆ จริงๆ มีทุกหัวระแหง



abbr_6a8ca058c85252ec8b215cced34eb01d.jpg


31. เทคนิคในการห่อของขวัญเยี่ยมยอด อันนี้เรียกได้ว่า ทุกคนที่เห็นอยากจะไปขอเรียนเทคนิคเหล่านี้บ้าง
32. ที่จอดรถซ้อนกันในแนวตั้ง สมกับเป็นประเทศที่อยู่กันหนาแน่น ขนาดที่ที่มีอยู่ยังไม่พอกับประชากรรถยนต์ ต้องอาศัยเทคโนโลยีให้สามารถจอดซ้อนกันในแนวตั้งได้ จะได้ประหยัดที่ สุดยอด!
33. ระบบจ่ายเงินค่าทางด่วนอัตโนมัติ ETC อันนี้บ้านเราก็มีแล้ว Easy pass ไง
34. มีที่แช่น้ำร้อนเฉพาะเท้า เดี๋ยวนี้บ้านเราก็เอามาเลียนแบบกันหลายที่เหมือนกัน
35. มีตู้รถไฟที่จัดให้เฉพาะผู้หญิงขึ้นเท่านั้น อันนี้ชอบมาก ไม่ต้องไปเบียดกับผู้ชาย บ้านเราก็เคยมีรถเมล์สำหรับผู้หญิง ทำไมเลิกไปแล้วก็ไม่รู้ สำหรับรถไฟฟ้าหรือรถใต้ดินของบ้านเรา ในอนาคตน่าจะมีตู้สำหรับผู้หญิง ทุกวันนี้ในช่วงรีบร้อนทุกเช้าเย็น คนเยอะมากจริงๆ คนญี่ปุ่นยังบ่นเลย
36. มีโรงแรมม่านรูด เอ แล้วประเทศไหนไม่มีโรงแรมม่านรูดบ้าง
37. บุหรี่มีมากมายหลายยี่ห้อ แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการสูบบุหรี่ของคนญี่ปุ่น
38. บ้านเมืองมีความปลอดภัยสูง เวลาค่ำคืนสามารถเดินออกไปได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ต้องระวังตัวกันมากขึ้น
39. มีห้องน้ำแบบนั่งยองๆ อันนี้ สำหรับคนไทยก็ไม่แปลกเนอะ จะแปลกก็ตรงวิธีนั่ง ตรงกันข้ามกับคนไทย เราจะเอารูส้วมไว้ด้านหลัง แต่ของญี่ปุ่นไว้ด้านหน้าน่ะสิ ตอนแรกๆก็ไม่รู้ นั่งแบบไทยไปเนี่ยแหละ 555
40. คิทแคทมีหลายรสชาติ อันนี้ผู้ไปเที่ยวบ่อยๆคงเห็นว่าแม้กระทั่งรสวาซาบิยังเอามาทำคิทแคทแน่ะ




41. มีพนักงานสาวคอยดูแลการขึ้นลงลิฟท์ให้ผู้โดยสาร งามๆและชอบทำเสียงสูงๆน่ะ ลองสังเกตกัน
42. มีซองน้ำจิ้มที่สามารถราดน้ำจิ้มได้ด้วยมือข้างเดียว(โดยไม่ต้องแกะหรือฉีก) เรียกว่า Dispenpack อันนี้เห็นครั้งแรกก็ทึ่งเหมือนกัน สมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องคิดค้นต้องยกให้เขา
43. โรงแรมแคปซูล ปัจจุบันมีการพัฒนาโรงแรมแคปซูลให้มีความหลากหลายมากขึ้น คนที่ไมเคยลิ้มลองรสชาติการนอนในโรงแรมแคปซูลคงต้องไปหาลองกันบ้างแล้ว
44. มีถุงที่ร้านต่างๆใส่สินค้าของร้านตัวเองแล้วปิดผนึกไม่ให้ลูกค้าเห็นของด้านใน แล้วตั้งราคาเป็นตัวเลขกลมๆ ขายในช่วงปีใหม่ ซึ่งของในถุงมักจะมีราคาสูงกว่าราคาที่ตั้งไว้ เรียกกว่า Fukubukuro (福袋)เคยเห็นคนต่อคิวรอห้างเปิดเพื่อเข้าไปแย่งกันซื้อถุงเหล่านี้ ผู้หญิงทั้งนั้น
45. ห้องในโรงแรมบิสซิเนส (business hotel) เล็กมาก โดยเฉพาะห้องชนิด semidouble เรียกว่านอนสองคนแทบไม่ได้ อันนี้ก็จริง วัดขนาดที่นอนแล้ว ต้องผู้หญิงตัวเล็กๆน่ะถึงจะนอนสองคนได้
46. ชาวต่างชาติที่มีแฟนเป็นสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักๆมักจะหน้าตาแย่ อันนี้จริงแท้ เห็นแล้วยังงง
ผู้เขียนไปเรียนต่อญี่ปุ่นหลายปี เลยเห็นทั้ง 46 อย่างที่กล่าวมา เห็นแรกๆก็ตกใจหรือไม่ก็แปลกใจ หลายอย่างต้องเรียกว่า “ทึ่ง” จนต้องนิ้วยกให้ ญี่ปุ่นสมกับเป็นชาติแห่งนวัตกรรมจริงๆ ไอเดียไหนเจ๋งๆ วันหลัง anngle จะเอามาเล่าให้ฟังอย่างละเอียด

ที่มา: http://www.bbberry.net/webboard/viewthread.php?tid=13917
เรียบเรียงบทความโดย ae86 สมาชิกบีบี
บทความจาก educatepark.com และ pantip.com , อินเตอร์เนต
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Adams Jaidee's profile


โพสท์โดย: Adams Jaidee
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
76 VOTES (4/5 จาก 19 คน)
VOTED: PRP, นายเอือมระอา, พระเจ้ามายา, ดีเจ ซูกัส, คุณกินนะจ๊ะ บีสอง, jarasporn, MondAy CoUpLe, FORFAME, willbe, แก๊บจ่ะ, hiyesno, Berry GL, ไอ้หมาบ้า, ginger bread, Kikuyo, fk y, Adams Jaidee
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เจ้าของบริษัทขายกิจการ แจกโบนัสพนักงานคนละ 443,000 ดอลลาร์"ซินแสดัง" เผยดวงเมืองประเทศไทย ปี 2569..ยิ่งรบ ยิ่งแข็งแกร่ง ศัตรูแพ้ราบคาบดาราดัง "บริจิตต์ บาร์โดต์" เสียชีวิตแล้ววิเคราะห์หวยงวดวันที่ 2 มกราคม 69 โดยใช้ AI..เลขไหนมีสิทธิ์ถูกรางวัล10 พรรณไม้สวยพิษร้าย: ความงดงามที่ต้องแลกด้วยอันตรายถึงชีวิตปิดตำนานรถ EV ราคาถูก ทิ้งลูกค้า, ดีลเลอร์ หอบเงินจากภาครัฐฯ กลับจีนหน้าตาเฉยทรัมป์ดีใจ เลยแสดงความยินดี ที่ไทยและเขมรหยุดยิง!!การส่งต่อความสุขของคนในเมือง ความสุขเล็กๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนในส่วนของปี5 อันดับศาสตร์เวทย์ลี้ลับที่คุณไม่เคยรู้บทเรียนรักกลางสมุทร: อดีตลูกเรือสำราญเตือนสติ ทำไม "ความรักในที่ทำงาน" บนเรือถึงเป็นดราม่าที่หนีไม่พ้นเขมรสั่งห้ามจุดพลุฉลองปีใหม่ในกรุงพนมเปญพรรคภูมิใจไทยส่งแคมเปญ ‘พูดแล้วทำ พลัส’ ผ่านบทเพลงฝีมือ"ดี้ นิติพงษ์ - สุเมธ"
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ปิดตำนานรถ EV ราคาถูก ทิ้งลูกค้า, ดีลเลอร์ หอบเงินจากภาครัฐฯ กลับจีนหน้าตาเฉยความแตกต่างของ มัทฉะ (Matcha) และ ชาเขียว (Green Tea)ไข่ดาวน้ำเพื่อสุขภาพ6 เมนูต้อนรับสงกรานต์ เริ่ดไม่ซ้ำบ้านอื่น!เปิดแฟ้มลับ 5 อันดับคดีมนต์ดำสะเทือนราชสำนักไทย
ตั้งกระทู้ใหม่