แค่กด Like กด Share ไม่ดีก็มีสิทธิ์ติดคุกได้
ผมคิดว่าหลายคนคงเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ ส่วนมากคงเป็น Social media ฮิตๆเช่น Facebook,Twitter,Line แต่น้อยคนจะทราบว่าแค่การกด Like หรือกด Share ก็มีสิทธิ์ติดคุกได้ !!! อ้าว มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ลองอ่านดูครับ
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ละกัน
อย่างรูปนี้ที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันนี้ มีการส่งต่อภาพกันมากมายโดยในภาพระบุว่า เขาคือคนร้ายซึ่งในความจริงแล้วพี่เขาเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยและก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเขาบริสุทธิ์ แต่ก็ยังมีการส่งต่อกันอยู่โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แล้วอย่างนี้ แค่การกด Like หรือกด Share จะทำให้เราติดคุกได้อย่างไรในเมื่อเราหวังดี
ได้สิครับเพราะพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ มาตราที่ 14 ได้ระบุเอาไว้
มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(๑) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ(๔)
หรือจะให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือ พวกคุณทำให้พี่เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยการประจานและส่งต่อข้อความหรือรูปภาพอันเป็นเท็จนั้น และถ้าพี่เขาฟ้องร้องขึ้นมาตำรวจจะตามเรียกคนที่ทั้ง กด Like และกด Share มาสอบสวน เคยมีแล้วนะครับคดีแบบนี้โดนเรียกมาเป็นร้อยคนเลย
บางครั้งเพื่อนเราโพสด่าบางคนไอ้เราเห็นแต่ไม่ได้สนใจมากนักก็กด Like ไป และยังตามเข้าไปเม้นในทำนองยุยงด้วย ก็เคยมีคนที่โดนด่าไปฟ้องร้องตำรวจ ทีนี้ตำรวจก็ตามทั้งคนโพสและคนกด Like และ Share มาให้ปากคำ ไอ้ตัวเพื่อนก็เลยซวยไปด้วย
เอาอีกสักตัวอย่างนึงที่ผมคิดว่าหลายคนคงส่งต่อกันจนเคยชิน @เนื้อหาจาก บล็อกkafaakBlog
ยกตัวอย่างกรณีของโพสต์ตามรูปข้างบน ที่ผมต้องขอเซ็นเซอร์นะครับ เพราะมันเป็นภาพอนาจารเด็ก ซึ่งถ้าจะว่ากันตามประมวลกฎหมายอาญาแล้ว มีบทลงโทษเอาไว้ดังนี้
มาตรา 287 ผู้ใด
(1) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้าเพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อ การแสดงอวดแก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออก หรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆซึ่งเอกสารภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียงแถบบันทึกภาพหรือสิ่งอื่นใดอันลามก
(2) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งของ ลามกดังกล่าวแล้ว จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าวัตถุหรือสิ่งของเช่นว่านั้น
(3) เพื่อจะช่วยการทำให้แพร่หลาย หรือการค้าวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว โฆษณาหรือไขข่าวโดยประการใด ๆ ว่ามีบุคคลกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือ โฆษณาหรือไขข่าวว่าวัตถุหรือสิ่งของลากดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
พูดง่าย ถ้าพิจารณาถึงการรีทวีต (หรือการกด Like หรือ Share บน Facebook) ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแชร์ หรือ แจกจ่ายโพสต์นั้นให้ผู้อื่น หรือเป็นการแสดงอวดแก่ประชาชน (ผู้ใช้งาน Social media) รูปอนาจาร ก็ต้องโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 287 มีสิทธิ์ติดคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้แล้ว
การแชร์ หรือ รีทวีต โพสต์บน Social media จึงอาจนับว่าเป็นไปตามมาตรา 14 (5) ครับ ส่วนคนโพสต์คนแรกก็ผิดตามมาตรา 14 (4) น่ะ ซึ่งบทลงโทษโหดกว่ากฎหมายอาญาเยอะนะครับ เพราะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เล่นเอาผมต้องรีบโพสต์ไปเตือนให้เจ้า @waans_ ลบไอ้ที่รีทวีตออกไปโดยด่วนครับ ก่อนจะเป็นเรื่อง แต่อีกเกือบสองพันคนที่รีทวีตนี่ ผมจนปัญญาที่จะไปโพสต์เตือนทีละคนจริงๆ
เพราะฉะนั้นในยุคที่ Social media มันเข้าถึงง่าย เผยแพร่ และส่งต่อกันไว ควรจะตระหนักได้แล้วครับว่า บางครั้งแค่เราหวังดีหรือเรากดเพราะชอบใจ มันก็ทำให้เราเดือดร้อนได้เหมือนกัน
เนื้อหาเพิ่มเติมจาก kafaakBlog