“ความเป็นมืออาชีพ” ของสาวอาบอบนวด ตอนที่ 1
** บทความของคุณพิมพ์กมล พิจิตรศิริ นี้มีความยาว จำเป็นต้องแบ่งเป็น 3 ตอนครับ **
ผลงานข่าวเจาะเยาวชน ที่จะโต้มายาคติที่ว่า อาชีพหมอนวดเป็นงานง่าย สบายๆ ไร้ทักษะ แท้จริงแล้วพวกเธอต้องฝึกฝน ดูแลตัวเอง เพื่อเป็นผู้ให้บริการทางเพศที่เรียกได้ว่าเป็น "มืออาชีพ"
สตีเว่น ดี เลวิทท์ กับ สุธีร์ เวนตาเตชได้เขียนไว้ในหนังสือ มองโลก อย่างฉลาดด้วยเศรษฐศาสตร์ โคตรพิลึกว่าการค้าประเวณีเป็นตลาดแรงงานประเภทหนึ่งที่ผู้หญิงกุมอำนาจมาโดยตลอดกาล
กุมอำนาจที่นี้ คือ แรงงานโสเภณี สามารถเป็นแรงงานที่มีอำนาจในการต่อรองค่าตอบแทน และโดดเด่นในการทำงานมากกว่าผู้หญิงในอาชีพอื่นๆ เช่น ในภาคธุรกิจการเงิน ที่สัดส่วนของผู้บริหาร มีผู้หญิงอยู่จำนวนน้อยกว่าชายมาก สัดส่วนของผู้หญิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุด ก็มีน้อยกว่าชายหลายเท่าตัว
สำหรับในประเทศไทย ในงานวิจัย ของ ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ ได้เสนอไว้ในงานวิจัยเรื่อง โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411 – 2503 ว่า มีหลักฐานว่า อาชีพโสเภณีถูกกล่าวถึงครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อพุทธศักราช 1904 หรือสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่หนึ่ง ซึ่งโสเภณีถูกกล่าวถึงในกฎหมายลักษณะผัวเมียนั่นแปลว่า ประเทศไทยนั้นมีโสเภณีมาไม่ต่ำกว่า 653 ปี
ส่วนประเทศไทยในปัจจุบัน การให้บริการทางเพศที่ดูจะเป็นที่นิยม และเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูที่สุด คือ อาบ อบ นวด
อย่างไรก็ตาม ตามความหมายของ สถานอาบอบนวด ในพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2546 ออกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พุทธศักราช 2546 คือ สถานให้บริการนวด นวดแผนไทย ฯลฯ ที่มิได้รวมการขายบริการเข้าไปด้วย ส่วนการขายบริการทางเพศ หรือ การค้าประเวณีนั้น ผิดกฎหมายตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 และต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แม้อาชีพโสเภณีจะเรียกได้ว่า เก่าแก่ที่สุดในโลกและสังคมไทย อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่ยังไม่ถูกยอมรับ และถูกมองอย่างดูถูกว่า เป็นเพียงการ "แบปี๊ขาย" เป็นงานสบาย ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้ใดๆ และเป็นอาชีพที่สกปรก เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมาย
ในปัจจุบัน การขายบริการมีความสลับซับซ้อน และมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อที่จะเข้าใจอาชีพโสเภณีมากขึ้นว่า พวกเธอถูกมองเป็นอย่างภาพเหมารวมเช่นนั้นจริงๆ หรือจริงๆ แล้วอาชีพขายบริการทางเพศต้องใช้ทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญ มีเส้นทางของอาชีพ เฉกเช่นวิชาชีพอื่นๆ อย่าง หมอ ครู นักข่าว วิศวกร นอกจากสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ และค้นคว้าจากงานวิจัยต่างๆ แล้ว ผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์หญิงบริการสี่คนคือ
โป๊ยเซียน อายุ 40 ปี เธอมีพี่น้องสองคน เข้าสู่วงการอาบอบนวดเพราะเป็นอาชีพที่มีรายได้มาก ก่อนเป็นหมอนวด เธอเป็นนักร้องคาเฟ่มาก่อน แต่ก็เปลี่ยนมาขายบริการในที่สุด เพราะเล็งเห็นว่า อาชีพขายบริการทำรายได้มากกว่าอาชีพนักร้องคาเฟ่อีกทั้งเธอยังต้องเลี้ยงดูลูกอีกหนึ่งคนด้วย
เข็ม อายุ 37 ปี ประกอบอาชีพผู้ช่วยพยาบาลมาก่อน เธอมีลูกกับสามีเก่าสองคนหลังแยกทางกับสามี เธอก็เข้าสู่วงการอาบอบนวด เพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอกับการเลี้ยงดูตัวเองและส่งเสียให้ลูก
พิกุล อายุ 38 ปี เคยทำอาชีพค้าขายมาก่อนและค่อนข้างมีฐานะดี หากแต่วิกฤติกับธุรกิจเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เธอจึงต้องเลิกทำธุรกิจ เลิกรากับสามี และเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนโดยลำพัง เธอหันไปทำงานเป็นสาวคาราโอเกะที่เชียงใหม่แต่เนื่องจากรายได้น้อย ไม่พอเลี้ยงดูลูก จากคำแนะนำของเพื่อน เธอจึงเข้าสู่วงการอาบอบนวด
ฟ้า อายุ 38 ปี เธอมีครอบครัวกับสามีคนเก่าและมีลูกด้วยกันสองคน ปัจจุบัน ลูกของเธอกำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอุดมศึกษา เธอบอกว่า เธอเป็นคนหัวดี คิดเลขเก่ง จึงได้งานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าที่ห้างดัง แต่ด้วยความที่รายได้ที่ได้ก็ยังไม่พอ กับภาระรายจ่าย ที่เธอต้องเลี้ยงดูพ่อแม่น้องสาวและลูกของเธอ เธอจึงเข้าสู่วงการอาบอบนวด
พวกเธอทั้ง 4 คน ทำงานในสถานอาบอบนวดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นสถานบริการขนาด 22 ห้อง และมีหญิงบริการ 30-40 คนต่อเดือน ถือเป็นสถานบริการระดับค่อนข้างหรูในจังหวัด
ขายบริการ = งานง่ายๆ ไร้ทักษะ?
ที่คนส่วนใหญ่มองว่า อาชีพขายบริการทางเพศเป็นอาชีพที่สบาย และไม่ต้องใช้สมอง ก็เพราะมองว่า การขายบริการเป็นเพียงแค่การมีเพศสัมพันธ์กับแขกที่มาใช้บริการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญใดๆ
จริงอยู่ว่า ผู้ทำอาชีพขายบริการไม่จำเป็นต้องเรียนจบปริญญาใดๆ และไม่ยากที่หญิงคนหนึ่งจะเข้าสู่อาชีพนี้ แต่กว่าที่หญิงบริการคนหนึ่ง จะทำงานจนเป็นมืออาชีพ ในอาชีพขายบริการทางเพศนี้ได้ ก็ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์พอสมควร ยิ่งในตลาดการขายบริการที่มีผู้ค้าบริการจำนวนมาก ทักษะการให้บริการที่ทำให้แขกติดใจและกลับมาใช้บริการอีกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งยังมีทักษะในการเอาตัวรอดยามคับขัน เช่น เมื่อเจอแขกที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่ยอมใส่ถุงยางอนามัย
“ลองนึกภาพดูนะ เข้าห้อง ปิดห้อง อยู่กับชายที่ไม่รู้จักสองต่อสอง ถ้าข้อตกลงระหว่างการซื้อไม่ลงเอยกัน ชายผู้ที่มีกำลังเหนือกว่าย่อมทำร้ายเขาได้ แต่พวกเขาก็สามารถใช้ทักษะบวกประสบการณ์ที่เขาเจอเหตุการณ์นี้ปฏิเสธการถูกทำร้ายได้อย่างมืออาชีพ ให้คนธรรมดาอย่างเราไปทำ คงจะเอาตัวรอดได้ยากเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้” ญาศศิภาส์ สุกใส นักวิจัยอิสระ กล่าว
ญาศศิภาส์มองว่า อาชีพขายบริการก็เหมือนการประกอบธุรกิจส่วนตัวประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร และผู้ที่มาประกอบอาชีพนี้ก็ไม่ใช่คนที่ยากจน หรือขาดการศึกษาเสมอไป เธอเล่าว่า เธอเคยพบหญิงขายบริการที่มีดีกรีปริญญาโทเลยทีเดียว ซึ่งเลือกมาทำอาชีพนี้เพราะรายได้ดี
เธอกล่าวว่า ทักษะของหญิงบริการเป็นสิ่งกำหนดราคาในการให้บริการในแต่ละครั้ง ซึ่งหญิงบริการที่บริการได้ดีกว่า เอาอกเอาใจ ทำให้แขกพอใจได้มากกว่า ก็ย่อมจะมีอำนาจในการต่อรองมากกว่า และทำรายได้ได้สูงกว่า นี่คือสิ่งที่เหมือนกับการประกอบธุรกิจอื่นๆ
“เมื่อไม่มีความต้องการซื้อ ความต้องการขายก็จะไม่มี ทั้งสองอย่างล้วนขึ้นอยู่กับผู้ชายว่าคุณสามารถที่จะซื้อบริการได้หรือเปล่า ถ้าคุณต้องการบริการดี เอาอกเอาใจ ได้รับแต่ความสุขและความประทับใจกลับบ้าน คุณต้องยอมจ่ายราคาสูงให้กับหญิงบริการที่บริการดีกว่า”
การเอาอกเอาใจแขกจึงเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งของอาชีพหญิงบริการ เพื่อพิชิตใจแขกให้ประทับใจผลงานกลับมาใช้บริการอีกครั้ง หรือภาษาหมอนวด เรียกว่า “ขึ้นซ้ำ” เป็นการเพิ่มจำนวนแขกจากลูกค้าทั่วไปเป็นลูกค้าประจำ
โป๊ยเซียน กล่าวว่า เคล็ดลับในการเอาใจแขกของเธอคือ การสร้างจินตนาการ ให้แขกรู้สึกว่าเธอรู้ใจ เข้าใจ ใส่ใจแขก “พี่ไม่ได้ทำตัวเป็นแฟนแขก แต่พี่เป็นกันเองกับแขก เราไม่ได้คิดลึกซึ้ง พี่ต้องแสร้งจินตนาการจากการกระทำกับแขก เช่น พูดกับแขกว่า คิดถึงจังเลย หายไปไหนมา กอด หอม บีบ นวด แขกมาเที่ยว พี่อยากให้แขกรู้สึกว่า พี่รู้ใจ พี่เข้าใจ พี่ใส่ใจ”
หญิงบริการแต่ละคนก็มีความเห็น และมุมมองต่อการเอาใจ หรือ "ยอมให้" กับแขกแตกต่างกันไป หญิงบริการจำนวนหนึ่งยอมทำทุกอย่างตามที่แขกต้องการเพื่อให้แขกพอใจ แต่หญิงบริการอีกจำนวนหนึ่งมองว่าการให้บริการนั้นมีลิมิต และอนุญาตให้แขกทำได้แค่บางอย่างเท่านั้น
เข็ม เล่าว่า เธอไม่มีข้อห้ามอะไรเวลาให้บริการกับแขก เพราะอยากให้แขกรู้สึกว่า เขาได้ใช้เงินอย่างคุ้มค่าในการมาใช้บริการกับเธอ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีแขกประจำมากมาย
“พี่ให้แขกได้ทุกอย่าง เพราะพี่คิดว่าแขกเขาจ่ายเงิน เขามาเที่ยว เขามาหาเรา ห้ามเขาทำนู่นทำนี่ไม่ได้หรอก มันเป็นสิทธิของเขา ไหนๆ เราก็ทำอาชีพนี้แล้ว ที่สำคัญแขกประจำพี่ให้เหตุผลกับพี่ว่า เขาไม่อยากเปลี่ยนไปเป็นหมอนวดคนอื่น เพราะพี่บริการเอาอกเอาใจเขาเก่ง แล้วอย่างนี้จะให้พี่เลิกเอาใจแขกก็คงไม่ได้”
ในขณะที่ พิกุล กล่าวว่า ความเป็นกันเองและการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นหัวใจสำคัญในการทำให้แขกติดใจเธอ เธอจึงมักจะอาบน้ำและขึ้นเตียงกับแขกอย่างไม่รีบเร่ง และนี่ยิ่งทำให้เธอเสร็จงานต่อรอบเร็วขึ้น และเพิ่มรอบการให้บริการได้มากขึ้นอีกด้วย
“พี่ไม่เล็งไปที่มามาเอาเอาเสร็จแล้วไป แต่พี่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น แขกประจำของพี่ ชอบสนุกในอ่าง พี่ก็จะปล่อยให้แขกจับ คลำ บีบ เค้น ร่างกายของพี่ แต่พี่ก็มีข้อจำกัดของพี่ด้วยการถามแขกพี่ว่า พอยัง พอแล้ว ไปเตียงกัน พี่มองว่า การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นการแสดงความเป็นมืออาชีพของพี่ เพราะพี่คิดว่า ยิ่งปล่อยไปตามธรรมชาติ แขกยิ่งเสร็จเร็ว แทงสองครั้ง สามครั้ง แล้วเสร็จโคตรดี เพื่อพี่จะได้ไปขึ้นรอบใหม่ เป็นการเพิ่มรอบเพิ่มรายได้ให้กับพี่ แต่มีบางทีแขกพี่เสร็จเร็ว แล้วพี่เผอิญอยากได้ทิปเพิ่ม พี่ก็จะชวนแขกพี่นวด เพื่อให้แขกติดใจการบริการของพี่และพี่ก็ได้ทิปด้วย”
ในขณะเดียวกันถึงแม้หญิงบริการบางกลุ่มมีมุมมองการเอาใจ หรือ “ยอมให้” กับแขกนั้น พวกเธอกลับมองว่า การให้บริการย่อมต้องมีข้อจำกัด ทั้งเพื่อความรู้สึกสบายใจของเธอเอง และเพราะเหตุผลว่า แขกที่มาใช้บริการไม่ใช่คู่รักของเธอ พวกเธอก็จะไม่อนุญาตให้แขกกระทำกับเธอในลักษณะที่เหมือนเป็นการแสดงความรัก และเหตุผลด้านสุขอนามัย
อย่างเช่น โป๊ยเซียน ที่แม้ให้ความสำคัญกับการสร้างจินตนาการ ให้แขกรู้สึกว่าเธอรู้ใจ เข้าใจ ใส่ใจแขก กล่าวว่า เธอไม่ยอมให้แขกจูบปาก เพราะแขกมักมีกลิ่นปาก กลิ่นบุหรี่ที่เธอไม่ชอบ และเธอจะขัดขืนอย่างถึงที่สุด หากแขกพยายามจะจูบปากเธอ “พี่ห้ามแขกจูบปาก ถ้าแขกจะจูบปากพี่ พี่จะถีบลูกเดียว เพราะพี่มองว่า มันไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องปฏิบัติเพื่อตามใจแขก อีกอย่างจูบ พี่รู้สึกขยะแขยงกลิ่นนู่นนี่นั่น เช่น กลิ่นบุหรี่ พี่รับไม่ได้”
พิกุล เธอให้ความสำคัญกับการปล่อยไปแบบเป็นธรรมชาติ แต่เธอนั้นมีข้อจำกัดสำคัญคือ การห้ามแขกจูบปาก เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของความรัก และเห็นว่า ไม่ใช่สิ่งที่หมอนวดต้องทำกับแขก “พี่ห้ามแขกจูบปาก เพราะมันเป็นการแสดงความรัก แปลว่าแอบมีจงมีใจให้แขก และไม่ใช่ทักษะที่พี่ต้องแสดงผ่านอาชีพหมอนวด เคยมีบ้างที่พี่พบเจอแขกขี้เล่น แขกหยอก อยากจูบปากพี่ แต่พี่เจรจา ต่อรองกับแขกดีๆ เช่น พูดว่า อย่าเลยพี่ หนูไม่เอา ส่วนของใบหน้าหนูห้ามยุ่ง กลับบ้านเถอะ หรือไม่ก็เปลี่ยนคน มันเป็นกฎของหนู”
ฟ้า มองว่า การจูบปากเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เธอไม่อยากนำมาใช้กับแขก และเธอยังกังวลเรื่องความสะอาดในช่องปากของแขกอีกด้วย “พี่ห้ามแขกจูบปากพี่ พี่มองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความรักสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับพี่ ไม่จูบแขกและแฟนของพี่ แฟนที่ไม่จูบเพราะสามารถแสดงความรักต่อกันด้วยการกอด เกาะแขน มองตา ใช้ความรู้สึกดีๆ กับแฟน ส่วนแขกพี่ไม่จูบเพราะกลิ่นปาก แขกบางคนไม่สะอาด ถึงสะอาดยังไง ก็ไม่ให้จูบอยู่ดี ไม่ใช่คู่ผัวตัวเมียกัน”