ดิฉันเป็นพยาบาลที่ติดเชื้อเอชไอวีจากคนไข้ และมีความสุขในวิชาชีพนี้ค่ะ
ขอแบ่งปันด้วยค่ะ
20 ปีที่ทำงานพยาบาล เจอหนักที่สุดเมื่อปี 48 ฉีดยาเข้า hep lock ในผู้ป่วย ติดเชื้อ HIV และมีภาวะ ติดเชื้อในสมอง ขณะฉีดยาผู้ป่วยมีอาการชักเกร็ง สะบัดแขน ทำให้เข็มมาทิ่มมือเรา ขณะนั้นเวลา 23.30 น. ต้องไปรับยาต้านที่รพ.ศูนย์ ซึ่งห่างจากรพช.100 กม. และเนื่องจากไม่มีพยาบาลคนใดเคยได้ใช้ยา ยาที่มีจึงหมดอายุ ได้ stat ยา 04.00 น.
ขณะรอรับยา ร้องไห้ตลอดเวลาทั้งเครียดทั้งอาย จนท.รพ.ศูนย์ที่ทราบว่ามีพยาบาลจาก รพช.มารับยาต้าน ทุกคนต่างอยากเห็นหน้า (ซึ่งเราเป็นเคสแรกๆ ในช่วงนั้น) จึงเป็นที่สนใจของทุกคนมาก บอกตรงๆ อายที่สุด เสียใจที่สุด กลับมาทำงาน ผู้บริหารไม่ถาม ไม่สนใจ ได้ยินมาว่า"ประมาทเอง"
1 เดือนที่รับยาอาการข้างเคียงรุนแรงมาก อาเจียน เวียนศีรษะ เพลียมาก ได้รับการติดต่อจาก หน.ตึก สองครั้ง ครั้งที่ 1 โทรมาถามเรื่อง เปียแชร์มั้ย ?
ครั้งที่ 2 โทรมาบอกว่าคนไข้เสียแล้ว แต่เรายังโชคดีที่มีคนในครอบครัวดูแลอย่างใกล้ชิด
ในเวลานั้นเครียดจนอยากตาย หลังกลับมาทำงานจึงเกิดแรงจูงใจให้ย้ายสายงาน ไปเรียนดมยา ทั้งที่ครอบครัวชวนให้ลาออก เพราะซึ้งในน้ำใจผู้บริหารและหน.ตึก แต่เรายังรักอาชีพนี้ เราภาคภูมิใจที่ได้สวมชุดอันทรงเกียรติและเชื่อมั่นเสมอว่าเรายังมีคุณค่ามีความรู้ความสามารถที่จะช่วยเหลือคนไข้ได้ จึงไม่ลาออก
ต้องขอบคุณแรงขับตรงนั้นที่ทำให้เราได้คิด ได้รู้ว่า คนจะโตได้ต้องมีคุณธรรม จริยธรรมเต็มเปี่ยมหัวใจ มีความเอื้ออาทรต่อน้องๆ มีมาตรฐานเดียวในการดูแลลูกน้อง
ทุกวันนี้มีความสุขที่สุดเมื่อดมยาแล้วคนไข้ ตื่นดี และปลอดภัย เพราะเราทำงานภายใต้มาตรฐานวิชาชีพและมุ่งเน้นงานคุณภาพ
ปล.อดีตและปัจจุบันผลเลือด "ปกติ" นะคะ
** ทิมมี่ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนนะครับ เรื่องของคุณพี่พยาบาลนี้น่าจะสอนชีวิตว่า เราไม่ควรประมาทแต่ถ้าพลาดพลั้งไปแล้ว คนรอบข้างอย่าได้รังเกียจดูถูกว่าผู้ป่วยเป็นคนมั่วเซ๊กส์ เพราะมีปัจจัยเสี่ยงตัวอื่นด้วยครับ อีกอย่าง เมื่อติดเชื้อแล้ว รีบรักษา คุณสามารถมีชีวิตได้ยืนยาวเช่นคนทั่วไปด้วยกำารอาศัยกำลังใจเข้มแข็งและมีธรรมะครับ **