น.ช.จิรวัฒน์หรือเอ้ พุ่มพฤกษ์ อายุ 45 หมายเลขประจำตัว 689/44 น.ช.บัณฑิต เจริญวานิช อายุ 54 หมายเลขประจำตัว 693/44 คดีร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ(ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา15วรรค2 ,16วรรค2 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา83 หมายเลขคดีดำที่ ย6753/2544 หมายเลขคดีแดงที่ ย8360/2544 ศาลอาญากรุงเทพ เหตุเกิดพื้นที่ด่านตรวจยาเสพติดตำบลสลกบาตร อำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี จังหวัดกำแพงเพชร ต่อเนื่องแขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร
วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2544 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) สืบทราบว่า นายบัณฑิต เจริญวานิช มีพฤติกรรมในการใช้รถยนต์ราคาแพงที่มีเครื่องหมายของตำรวจหรือทหาร และติดเครื่องหมายอนุญาตเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเอกสารปลอม เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจไม่เกิดความสงสัยในเวลาผ่านด่านตรวจ โดยหวังผลประโยชน์ต่อการลักลอบขนยาเสพติดจากภาคเหนือมายังกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวางกำลังออกสืบสวนหาข่าวเพิ่มเติม
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2544 พ่อตาของนายบัณฑิต ถูกจับกุมพร้อมยาบ้าจำนวน 20,000 เม็ด โดยใช้รถยนต์ของนายบัณฑิตเป็นยานพาหนะ ตำรวจจึงส่งสายไปเฝ้าสังเกตบ้านของนายบัณฑิต พบว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ ประตูรั้วสูง ภายในมีรถยนต์ราคาแพงจอดอยู่หลายคัน
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2544 ชุดสืบสวน บช.ปส.แจ้งไปที่ด่านตรวจสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร ว่านายบัณฑิตส่งลูกน้องไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรับยาบ้าจากนายศักดิ์ ไม่ทราบนามสกุล โดยใช้รถยนต์เก๋งนิสสัน สีแดง ทะเบียน 2ฬ 9287 กทม. เป็นพาหนะ จึงมีการวางแผนเพื่อดักจับกุมที่ด่านสลกบาตร
วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2544 เวลาประมาณ 09.00 น.รถยนต์คันดังกล่าวได้ขับเข้ามาที่ด่านสลกบาตรฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ โดยมีนายจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์ เป็นคนขับ และมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งนั่งมาด้วย ที่กระจกหน้ารถติดบัตรผ่านเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการค้นรถอย่างละเอียด ผลปรากฏว่าพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ข้างประตูหลังรวม 50 มัด จำนวน100,000 เม็ด จึงควบคุมตัวนายจิรวัฒน์และหญิงสาวที่นั่งมาด้วยไปทำการสอบสวนเพื่อขยายผลต่อไป
นายจิรวัฒน์รับสารภาพว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของนายบัณฑิต และเคยขนยาบ้าให้นายบัณฑิตมาแล้วสองครั้ง ตำรวจจึงวางแผนให้นายจิรวัฒน์โทรศัพท์เรียกนายบัณฑิตมารับยาบ้าในจุดที่นัดกันไว้ โดยใช้รถยนต์ของกลางเป็นพาหนะ
เวลา 19.00 น. นายบัณฑิตหลงกลตำรวจเข้ามาสู่เป้าหมาย จึงถูกจับกุมพร้อมอาวุธปืนอีกหนึ่งกระบอก นายบัณฑิตยอมรับว่าเป็นผู้ใช้นายจิรวัฒน์ไปขนยาบ้าที่ภาคเหนือจริง ตำรวจจึงคุมตัวทั้งหมดไปตรวจค้นที่บ้านของนายบัณฑิตแถบหนองแขม พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่อีกนับหมื่นเม็ด และอาวุธปืนอีกหลายกระบอก รวมยาบ้าที่ถูกจับกุมได้ทั้งสิ้น 114,215 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2,982.56 กรัม และยังจับกุมเมียของนายบัณฑิตและพี่สาวของนายบัณฑิตซึ่งทำงานอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลไปดำเนินคดีด้วย
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายจิรวัฒน์และนายบัณฑิตยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนหญิงสาวที่มากับนายจิรวัฒน์และภรรยานายบัณฑิต รวมทั้งพี่สาวของนายบัณฑิต ต่างให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้อัยการเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีทั้ง 5 คนที่ศาลอาญากรุงเทพฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ประหารชีวิตนายจิรวัฒน์ นายบัณฑิต และเมียของนายบัณฑิต เนื่องจากยาบ้าที่ถูกจับได้มีจำนวนมหาศาล ซึ่งตามสภาพและลักษณะแห่งความผิดนับเป็นมหันตภัยต่อมวลมนุษยชาติ อีกทั้งสามารถทำลายทรัพยากรมนุษย์ บั่นทอนความสงบสุขของสังคมและเศรษฐกิจของชาติสุดคณานับ ถึงแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่มีเหตุอันควรลดโทษให้
ยกฟ้องหญิงสาวที่มากับนายจิรวัฒน์และพี่สาวของนายบัณฑิต แต่ให้ขังทั้งสองไว้ระหว่างการอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาให้จำคุกเมียของ ข.ช.บัณฑิตไว้ตลอดชีวิต จำคุกพี่สาว ข.ช.บัณฑิตในคดีปลอมแปลงบัตรผ่านเข้าออกทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลา 8 เดือน นอกนั้นให้ยืนตามศาลชั้นต้น ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้ง 4 คน ยื่นฎีกาต่อศาล
ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้ประหารชีวิตเมียของ น.ช.บัณฑิตตามศาลชั้นต้น นอกนั้นให้ยืนตามศาลอุทธรณ์ ผู้ต้องโทษประหารชีวิตทั้งหมดทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ โดยส่งตัว น.ช.บัณฑิต และ น.ช.จิรวัฒน์มาคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวางแดน 2 และส่งตัวนักโทษหญิงไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2552 เวลาประมาณ 10.00 น. ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปธุระส่วนตัวที่จังหวัดชลบุรี โดยขอลาพักร้อนมาอย่างถูกต้อง ปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือของข้าพเจ้าได้ดังขึ้น เมื่อมองดูเบอร์เห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนร่วมงานที่เรือนจำ จึงคิดว่าคงโทรมาให้ช่วยซื้อของฝากให้ด้วย
แต่ผิดคาด เพราะเมื่อรับสายก็มีเสียงพูดว่า “พี่ยุทธอยู่ไหนตอนนี้ รีบกลับเรือนจำมีงานด่วน”
ข้าพเจ้าตอบไปว่า “มีงานอะไรไว้ค่อยว่ากันวันจันทร์ ผมพักร้อนตอนนี้ขับรถใกล้ถึงชลบุรีแล้ว”
เสียงในสายพูดอีกครั้ง “มันไม่ใช่งานทั่วไปนะพี่ กรมแจ้งมาว่าวันนี้จะมีประหารสองราย คดียาเสพติด พี่ต้องกลับมาทำหน้าที่พี่เลี้ยง เพราะพี่มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น”
ข้าพเจ้า “คงจะไม่เอาแล้วหล่ะ ทำมาเยอะแล้ว ให้คนอื่นทำไปก็แล้วกัน ยังไงวันนี้ก็คงกลับไปไม่ทันอยู่แล้ว”
เสียงในสาย “พี่น่าจะรีบกลับมานะ ยกเลิกวันพักร้อนไปก่อน ผมอยากให้พี่กลับมาทำหน้าที่นี้จริงๆ”
ข้าพเจ้า “ขอโทษที่เถอะ กลับไปไม่ทันจริงๆ ยังไงก็ขอให้งานครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี อย่าได้มีอุปสรรค์อะไรมาขัดขวางเลยนะ”
เสียงในสายพูดเสียงอ่อนลง “ถ้ายังงั้นก็ขอให้พี่เดินทางปลอดภัยแล้วกัน ผมเสียดายจริงๆ อยากให้พี่ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย น้องๆจะได้ดูพี่เป็นตัวอย่าง” จากนั้นก็ได้วางสายไป
ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้ทำหน้าพี่เลี้ยงในครั้งนี้ แล้วก็ขับรถมุ่งสู่ตัวจังหวัดชลบุรีและทำธุระส่วนตัวเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
เวลาประมาณ 15.30 น. มีโทรศัพท์จากเรือนจำเข้ามาหาข้าพเจ้าอีกครั้ง เสียงในสายพูดว่า “พี่ยุทธ ผมมีเรื่องจะบอกพี่สองเรื่อง”ข้าพเจ้าตอบกลับ “เรื่องอะไรบ้าง” เสียงในสาย “เรื่องแรกก็คือการประหารในวันนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะหนังสือคำสั่งประหารยังไม่ส่งมาจากกรม ตอนเช้าเขาแจ้งมาทางโทรศัพท์ ก็เลยเตรียมพร้อมกันไว้ แต่หนังสือมาไม่ถึงก็เลยประหารไม่ได้ และตอนนี้นักข่าวก็รู้แล้วว่าจะมีการประหาร มีนักข่าวมากันเต็มหน้าเรือนจำ”
เสียงในสายพูดต่อ “เรื่องที่สองค่อนข้างจะเป็นข่าวดี” ข้าพเจ้า “ข่าวดีอะไรอีกล่ะ” เสียงในสาย “วันจันทร์พี่เตรียมตัวไว้ได้เลย มีการร่างคำสั่งแต่งตั้งพี่เป็นพี่เลี้ยงแล้ว ยังไงพี่ก็หนีไม่พ้น แล้วเจอกันวันจันทร์นะพี่ ขอให้เที่ยวพักร้อนให้สนุกนะพี่ หึ หึ หึ หึ” มีเสียงหัวเราะแล้วก็วางสายไป ข้าพเจ้ารู้สึกปลงตกในตนเองและคิดว่า “นี่เราจะต้องพาคนไปตายอีกแล้วหรือนี่”
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ไหว้พระและบูชาท้าวเวชสุวรรณตามความเชื่อของข้าพเจ้า พร้อมกับนำรูปหล่อและผ้ายันต์ท้าวเวชสุวรรณใส่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปด้วย
เวลาประมาณ 10.00 น. ข้าพเจ้าถูกเรียกไปที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง จากนั้นได้มีการปรึกษาวางแผนกันถึงการวางตัวพี่เลี้ยงที่จะทำหน้าที่ในวันนี้ และการวางกำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษดูแลความปลอดภัยรอบเรือนจำ เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้เข้าไปที่วัดบางแพรกใต้ พบกับพระครูศรีนนทวัฒน์ เจ้าอาวาส เมื่อท่านพระครูเห็นข้าพเจ้าก็พูดขึ้นว่า “กลับมาทำหน้าที่อีกแล้วหรือ เมื่อวันศุกร์เรือนจำมานิมนต์อาตมาไว้ แล้วก็มาบอกเลิกในตอนเย็น อาตมานึกภาวนาขอให้โยมนักโทษทั้งสองได้แคล้วคลาดจากบ่วงกรรมนี้ แต่เห็นหน้าโยมยุทธเข้ามาที่วัดก็พอเดาออกแล้ว วันนี้คงมีแน่ใช่ไหม”
ข้าพเจ้า “ครับหลวงพ่อ ผมคิดว่าวันนี้คงไม่พลาดแน่ เมื่อวันศุกร์ผมไม่อยู่ยังนึกว่ารอดจากหน้าที่นี้แล้ว วันนี้ถ้าหนังสือจากกรมมาถึงเมื่อไร คงมีเจ้าหน้าที่มานิมนต์หลวงพ่ออีกครั้งครับ”
หลังจากกราบท่านพระครูแล้วข้าพเจ้าก็เดินไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆภายในวัดบางแพรกใต้ แล้วกลับไปทำจิตใจให้สงบรอเวลาการเบิกตัวนักโทษประหารที่เรือนจำ
เวลา 15.00 น. ได้รับการยืนยันว่าวันนี้จะมีการประหารชีวิตจำนวน 2 รายแน่นอน โดยยืนยันชื่อของนักโทษซึ่งข้าพเจ้าพอจะทราบแล้วว่าชื่อ น.ช.จิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์ และ น.ช.บัณฑิต เจริญวานิช
บริเวณหน้าเรือนจำมีนักข่าวจากสำนักต่างๆมากันจำนวนมาก สักครู่มีเจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ของเรือนจำกลางบางขวางนำนักข่าวทั้งหมดเข้าไปภายในเรือนจำ โดยให้นักข่าวรออยู่ที่บริเวณศาลาเฉลิมพระเกียรติ ฝ่ายควบคุมกลาง
เวลา 16.00 น. ข้าพเจ้าและทีมงานพี่เลี้ยงทั้งหมดเข้าไปที่ฝ่ายควบคุมนักโทษประหารแดน2 โดยจัดรถกอล์ฟมารอไว้ที่หน้าแดน2 มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเรือนจำคอยดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง
เมื่อกุญแจตึกขังเปิดออก เสียงต่างๆภายในได้เงียบสนิทลงทันที ข้าพเจ้าเดินไปที่ห้องขังหมายเลข 23 ซึ่งเป็นห้องคุมขังน.ช.จิรวัฒน์ พี่เลี้ยงอีกชุดไปที่ห้องขังหมายเลข 1 ซึ่งใช้คุมขังน.ช.บัณฑิต เจ้าหน้าที่ประจำตึกขังไขกุญแจเปิดประตูห้องแล้วเรียกชื่อเล่นของ น.ช.จิรวัตน์ “เอ้ ออกมาเถอะ หัวหน้าเสียใจด้วยนะ” น.ช.จิรวัฒน์ซึ่งนอนอยู่เกือบจะชิดลูกกรงลุกขึ้นใส่เสื้อแล้วยกมือไหว้เพื่อนรอบห้อง “มีเสียงตะโกนเรียก “พี่เอ้ พี่เอ้ พี่เอ้ครับ อย่าเอาพี่เอ้ไป” เมื่อน.ช.จิรวัฒน์พ้นประตูห้องออกมาแล้ว ข้าพเจ้าใส่กุญแจมือและตรวจค้นตัวตามระเบียบ น.ช.จิรวัฒน์ขออนุญาตลาเพื่อนนักโทษที่อยู่ห้องอื่น มีเสียงร้องไห้จากนักโทษและเรียกชื่อเล่นของน.ช.จิรวัฒน์หลายเสียง “เอ้ ลาก่อนนะเพื่อน” “พี่เอ้ครับ ลาก่อนพี่” “อย่าเอาพี่เอ้ไปเลยครับนาย” “นึกถึงพระไว้นะเอ้” ฯลฯ โดยน.ช.จิรวัฒน์ได้กล่าวลาเพื่อนๆ หลายห้องแล้วกลับมาสั่งเสียนักโทษห้องเดียวกันให้เก็บพระไว้ให้ด้วยจะคืนให้แม่ ส่วนสิ่งของอื่นๆ ให้แบ่งกันไปใช้ สำหรับน.ช.บัณฑิตนั้น เมื่อพี่เลี้ยงเบิกตัวออกมาก็ได้แต่น้ำตาซึมไม่พูดไม่จา และไม่ได้ขอลาใคร อันแสดงให้เห็นว่า น.ช.จิรวัฒน์ มีเพื่อนฝูงที่รักใคร่ชอบพอกันมากกว่าน.ช.บัณฑิต
เมื่อนำตัวนักโทษประหารทั้งสองคนมาถึงหน้าฝ่ายควบคุมแดน 2 นักข่าวได้พยายามจะเข้ามาเก็บภาพ แต่มีเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษคอยกันไว้ จึงได้แต่ใช้กล้องดึงภาพจากระยะไกล (ประมาณ 50 เมตร) ข้าพเจ้าและทีมงานนำตัวนักโทษทั้งคู่ขึ้นนั่งรถกอล์ฟแล้วขับเข้าสู่ศาลาเย็นใจในทันที โดยจอดแวะที่ศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์เพื่อให้นักโทษทั้งสองกราบไหว้สักครู่
เมื่อถึงศาลาเย็นใจ ได้ให้นักโทษประหารทั้งสองนั่งที่เก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่กับโต๊ะยาวปูผ้าสีเขียว น.ช.จิรวัฒน์มองซ้ายมองขวาแล้วถามข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับ เจ้ไม่ได้มาด้วยหรือครับ” ข้าพเจ้าถามว่า “เจ้ไหน” น.ช.จิรวัฒน์ “เจ้เมียของเฮียบัณฑิตไงครับ ศาลฎีกาตัดสินยืนให้ประหารเหมือนกัน ทำไมไม่เห็นเขาเอามาประหารด้วย” ข้าพเจ้า “คำสั่งมีมาแค่สองคน แสดงว่าเจ้ที่ว่าน่าจะได้ลดโทษเหลือตลอดชีวิต เพราะเป็นผู้หญิง” น.ช.จริวัฒน์พยักหน้าแล้วพูด “ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้เขานะครับ ผมบอกตรงๆ นะว่าเจ้เขาน่าจะถูกประหารมากกว่าผมอีก” ข้าพเจ้าไม่ได้ถามว่าเพราะอะไรเนื่องจากมี น.ช.บัณฑิต สามีของเจ้ที่กล่าวถึงนั่งอยู่ด้วย จึงไม่อยากให้ทั้งคู่ต้องขัดใจกัน ซึ่งอีกไม่นานทั้งสองก็จะต้องจากโลกนี้ไปด้วยกันอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่จากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้เข้ามาพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติบุคคลของนักโทษประหารทั้งสองตามระเบียบ ข้าพเจ้าไขกุญแจมือให้ทั้งสองคน เสร็จแล้วได้ให้ทั้งคู่เขียนจดหมายและพินัยกรรม น.ช.จิรวัฒน์และน.ช.บัณฑิตต่างก็เขียนยกทรัพย์สินต่างๆให้กับญาติพี่น้อง น.ช.จิรวัฒน์ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับ ผมรบกวนช่วยบอกนายในแดน 2 ให้เอาพระที่หัวนอนของผมในห้องส่งกลับไปให้แม่ผมด้วยนะครับ ผมรบกวนหัวหน้าแค่นี้แหละ”ข้าพเจ้ารับปากว่าจะจัดการให้ตามคำขอ
ในช่วงที่เขียนจดหมายและพินัยกรรม นักข่าวได้พากันมาถึงและแห่เข้ามาถ่ายรูปรวมทั้งซูมภาพถ่ายข้อความที่นักโทษทั้งสองเขียน น.ช.จิรวัฒน์ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมนักข่าวเยอะขนาดนี้ เห็นการประหารเป็นเรื่องสนุกหรือไง” ข้าพเจ้าใช้มือตบไหล่และบอกว่าอย่าไปสนใจ แต่นักข่าวได้เข้ามาถ่ายจนชิดและพยายามเก็บข้อความที่มีที่อยู่ของญาตินักโทษและเบอร์โทรศัพท์ ข้าพเจ้าจึงต้องขอร้องนักข่าวว่าอย่าเก็บภาพข้อความไปออกอากาศเลย เพราะอาจมีผู้ไม่หวังดีไปรบกวนหรือโทรศัพท์ไปที่ญาติ ซึ่งอาจสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับญาติของนักโทษผู้ล่วงลับไปแล้วได้
หลังจากเขียนจดหมายและพินัยกรรมเสร็จ ทางเรือนจำอนุญาตให้นักโทษทั้งสองโทรศัพท์หาญาติได้ น.ช.จิรวัฒน์โทรหาแม่ เท่าที่ข้าพเจ้าจับใจความได้ น.ช.จิรวัฒน์ กล่าวลาแม่และขอร้องแม่ว่าอย่าร้องไห้ โดยตัว น.ช.จิรวัฒน์เองพยายามกลั้นน้ำตาไว้ได้ดีมาก ส่วน น.ช.บัณฑิตโทรศัพท์ไปน้ำตาไหลไปด้วยและพูดโทรศัพท์ไม่นานนัก ซึ่ง น.ช.บัณฑิตพูดน้อยมากนับตั้งแต่เบิกตัวมาจนกระทั่งใช้โทรศัพท์ และมีอาการค่อนข้างเครียดตลอดเวลา
หลังจากวางหูโทรศัพท์แล้ว ผู้อำนวยการส่วนควบคุมส่วนที่ 2 จะเข้ามาอ่านคำสั่งยกฎีกาจากสำนักนายกรัฐมนตรี แต่น.ช.จิรวัฒน์ได้ขอโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อลาลูก เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องโทรศัพท์บอกว่าทางเรือนจำอนุญาตให้โทรศัพท์ได้แค่คนละครั้ง น.ช.จิรวัฒน์มีสีหน้าเครียดในทันทีและพูดกับข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับ ผมขอโทรคุยกับลูกเป็นครั้งสุดท้ายอีกสักครั้งจะไม่ได้เชียวหรือ ยังไงผมก็จะตายอยู่แล้ว และทุกคนก็ได้ยินว่าผมพูดอะไรบ้าง ช่วยขอให้ผมด้วยเถอะครับ ผมขอร้อง” ข้าพเจ้าหันไปบอกผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯตามที่ น.ช.จิรวัฒน์ขอร้อง ก็ได้รับความอนุเคราะห์ให้โทรศัพท์ได้อีกหนึ่งครั้งเท่านั้น โดยจำกัดเวลาให้เพียง 5 นาที เมื่อครบทางเรือนจำจะตัดสัญญาณทันที สร้างความสดชื่นให้กับ น.ช.จิรวัฒน์อย่างเห็นได้ชัด
ในช่วงที่ น.ช.จิรวัฒน์โทรศัพท์คุยกับลูกนั้น ทำให้ข้าพเจ้าและอีกหลายคนน้ำตาซึมออกมา เพราะ น.ช.จิรวัฒน์ทั้งร่ำลา สั่งเสีย และสั่งสอนลูกแบบที่พ่อจะบอกลูกเป็นครั้งสุดท้ายได้ รวมทั้งบอกพี่สาวที่ดูแลลูกว่าอย่าร้องไห้ เพราะจะทำให้ลูกพลอยเสียขวัญไปด้วย เมื่อใกล้ครบ 5 นาที ข้าพเจ้าเตือนให้น.ช.จิรวัฒน์รับรู้ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือวางสายก่อนการตัดสัญญาณ
ผู้อำนวยการส่วนควบคุมส่วนที่2 ทำหน้าที่อ่านคำสั่งยกฎีกาจากสำนักนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วให้นักโทษประหารทั้งสองเซ็นชื่อรับทราบ
ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมดนำตัวนักโทษทั้งสองไปนั่งที่เก้าอี้ขาวหันหน้าไปทางวัดบางแพรกใต้ ส่งธูปเทียน ดอกไม้ ให้ทั้งสองไหว้ไปที่พระอุโบสถ จากนั้นนำตัวเข้าไปที่ห้องสีขาวบริเวณพื้นที่ของห้องประหารด้วยการฉีดสารพิษ ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนายเข้าไปอยู่ในห้องกับน.ช.จิรวัฒน์ ส่วนน.ช.บัณฑิตอยู่ห้องติดกันพร้อมพี่เลี้ยงอีกสองนาย โดยประตูห้องทั้งสองถูกปิดล็อคไว้จากภายนอก
อาหารมื้อสุดท้ายภายในห้องสีขาว มีแกงฉู่ฉี่ ข้าวเปล่า แอปเปิ้ล และน้ำดื่ม น.ช.จริวัฒน์บอกว่า “หัวหน้าครับ ผมกินอะไรไม่ลงหรอกครับ ผมอยากรู้ว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าใครควรประหารใครควรลดโทษ ผมเป็นแค่ผู้ร่วม เฮียบัณฑิตกับเจ้เป็นเจ้าของยา ไม่น่าต้องมาประหารผมเลย” ข้าพเจ้าบอกไปว่า “ผมเองก็ไม่รู้นะว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน แต่ถ้าใครโดนก็ต้องถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของคนนั้นไป ทำใจเถอะนะ” น.ช.จิรวัฒน์ “ครับผมทำใจแล้วครับ หัวหน้าครับ ก่อนตายผมขอลาเฮียบัณฑิตและขออโหสิกรรมกับเขาก่อนได้ไหม ตายไปผมกับเขาจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันอีก” ข้าพเจ้า “เดี๋ยวเอ้ก็ต้องไปพร้อมกับบัณฑิตอยู่แล้ว เดี๋ยวค่อยลากันตอนนั้นนะ” น.ช.จิรวัฒน์พยักหน้ารับทราบ
พระครูศรีนนทวัฒน์เข้ามานั่งที่ห้องติดกับห้องสีขาวทั้งสอง ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกห้องให้น.ช.จิรวัฒน์และน.ช.บัณฑิตยืนมองผ่านช่องหน้าต่างและพนมมือไหว้ไปทางท่านพระครู จากนั้นท่านพระครูได้เทศนาธรรมให้แก่นักโทษทั้งสองฟังเป็นครั้งสุดท้าย ในระหว่างฟังธรรมนั้น น.ช.บัณฑิตน้ำตาไหลอาบแก้มตลอดเวลา ส่วน น.ช.จิรวัฒน์พยายามฝืนกั้นน้ำตาได้ดี แต่ก็ตาแดงกล่ำเลยทีเดียว
เมื่อท่านพระครูเทศน์เสร็จ น.ช.จิรวัฒน์บอกข้าพเจ้าว่าขอจับชายผ้าเหลืองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเพื่อเป็นสื่อนำไปสู่ภพอื่น ข้าพเจ้าบอกท่านพระครูและอนุศาสนาจารย์ที่นำท่านพระครูมาทราบถึงจุดประสงค์ของน.ช.จิรวัฒน์ พระครูศรีนนทวัฒน์จึงเดินมาที่ช่องหน้าต่าง แต่มีเหตุติดขัดที่ช่องหน้าต่างอยู่สูงระดับสายตาของนักโทษ ส่วนห้องที่ท่านพระครูอยู่จะต่ำกว่าเล็กน้อย และช่องหน้าต่างมีซี่กรงค่อนข้างถี่ขวางกั้นอยู่ เมื่อท่านพระครูเดินมาถึงและพยายามส่งชายผ้าเหลืองให้จับแต่ก็ส่งไม่ถึง อนุศาสนาจารย์จึงไปนำเก้าอี้มาให้ท่านพระครูปีนขึ้นไปยืน ท่านพระครูส่งชายผ้าเหลืองที่พันแขนอยู่ลอดผ่านลูกกรงส่งให้น.ช.จิรวัฒน์ ช่วงนี้เองที่น.ช.จิรวัฒน์กลั้นน้ำตาไม่อยู่ น้ำตาไหลพรูลงมาอาบแก้ม แล้วจับชายฝ้าเหลืองพนมมือขึ้นแตะหน้าผาก อธิษฐานภาวนาอยู่ประมาณ 1 นาทีแล้วจึงปล่อยชายผ้าเหลือง ท่านพระครูพูดว่า “นึกถึงพระและสิ่งดีงามที่เคยทำไว้นะโยม”
เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนาแล้ว ข้าพเจ้าวิทยุแจ้งให้หัวหน้าชุดพี่เลี้ยงที่อยู่ภายนอกทราบ สักครู่ประตูได้ถูกเปิดออก ข้าพเจ้าหยิบผ้าคาดตามาปิดตา น.ช.จิรวัฒน์ แต่ น.ช.จิรวัฒน์จะขอไม่ใช้ผ้าคาดตา ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ได้เพราะผิดระเบียบ น.ช.จิรวัฒน์จึงยอมให้ใช้ผ้าคาดตามาปิดตาให้
ในระหว่างที่ประคองน.ช.จิรวัฒน์ไปที่ห้องฉีดสารพิษ น.ช.จิรวัฒน์ได้ทวงถามเรื่องที่จะขอลาและอโหสิกรรมกับน.ช.บัณฑิตอีกครั้ง ข้าพเจ้าจึงบอกว่าเดี๋ยวถ้าน.ช.บัณฑิตเข้ามาเมื่อไรจะบอกให้รู้ น.ช.พยักหน้ารับทราบ
ภายในห้องประหารด้วยการฉีดสารพิษ ข้าพเจ้านำน.ช.จิรวัฒน์เข้าไปนอนที่เตียงในสุด ใช้เข็มขัดรัดที่ตัวและแขนของน.ช.จิรวัฒน์อย่างแน่นหนา น.ช.จิรวัฒน์ร้องอุทธรณ์ว่าหายใจไม่ค่อยสะดวก ข้าพเจ้าบอกไปว่าทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษเข้ามาช่วยกันติดเครื่องจับสัญญาณเต้นของชีพจรและเดินสายน้ำเกลือเข้าหลังมือ เสียง “ปี๊ป ปี๊ป ปี๊ป” เริ่มดังขึ้น ข้าพเจ้าแยกตัวออกไปช่วยรัดเข็มขัดให้น.ช.บัณฑิตที่อีกเตียงหนึ่งซึ่งพี่เลี้ยงอีกชุดนำตัวตามมา
เสร็จแล้วข้าพเจ้าเดินไปพูดใกล้หู น.ช.จิรวัฒน์ว่าน.ช.บัณฑิตอยู่ในห้องนี้แล้ว น.ช.จิรวัฒน์ได้พูดเสียงดังขึ้นว่า “เฮีย เฮีย ได้ยินไหมเฮียบัณฑิต” น.ช.บัณฑิตนอนนิ่งเงียบไม่ยอมพูดโต้ตอบ
ข้าพเจ้าจึงก้มไปพูดว่า “จะกล่าวลาหรือขออโหสิกรรมกันก็พูดไปเลย เขาอยู่ในห้องนี้แล้ว เขาจะตอบรับหรือไม่ก็ไม่เป็นไรหรอก” น.ช.จิรวัฒน์พูดดังๆว่า “เฮียครับ ผมลาก่อน ผมขออโหสิกรรมให้เฮีย และขอให้เฮียอโหสิกรรมให้ผมด้วย เราจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันอีกต่อไปนะเฮีย” ข้าพเจ้าเห็นน.ช.บัณฑิตพยักหน้ารับแต่ไม่ยอมกล่าวคำใดๆออกมา ข้าพเจ้าก้มไปบอกน.ช.จิรวัฒน์ว่าน.ช.บัณฑิตพยักหน้ารับอโหสิกรรมแล้ว น.ช.จิรวัฒน์จึงพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า “เฮียรับรู้แล้วนะ เราหมดกรรมต่อกันแล้วนะเฮีย” จากนั้นก็เงียบเสียงไปและไม่ได้พูดหรือกล่าวคำใดๆ ออกมาอีกเลย
ข้าพเจ้าก้มไปกระซิบว่า “เอ้หลับไปเลยนะ ให้นึกว่านอนอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น ท่องพุทโธไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หลับไปเอง” จากนั้นก็เดินไปบอกน.ช.บัณฑิตเช่นเดียวกัน แล้วข้าพเจ้าก็ทำความเคารพนักโทษประหารทั้งคู่พร้อมกล่าว “พุทธังอเจตนานัง ธรรมังอเจตนานัง สังฆังอเจตนานัง สิ่งที่พวกกระผมทำไปในวันนี้ มิมีเจตนาที่จะกระทำ เป็นการกระทำตามหน้าที่ ขอให้อโหสิกรรมด้วย” จากนั้นข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทุกนายได้หลบไปยืนอยู่ริมห้อง
เจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษแจ้งความพร้อมให้ผู้ให้สัญญาณการประหารชีวิตทราบ ธงแดงได้สะบัดลง “พรึบบบ” สัญญาณไฟสีเขียวได้สว่างขึ้นเป็นอันดับแรก ที่ข้อมือของน.ช.บัณฑิตสายน้ำเกลือได้หลุดออกจากหัวเข็ม มีน้ำยาพุ่งไหลออกมา เจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษได้เข้าไปแก้ไขเสียบสายใหม่แล้วปล่อยยาชนิดแรกเข้าไปใหม่ สักครู่สังเกตได้ว่านักโทษประหารทั้งสองเข้าสู่สภาวะหลับลึกเนื่องจากการหายใจสม่ำเสมอไม่มีการกระดุกกระดิกร่างกายส่วนไหนอีกเลย
ไฟสีเหลืองสว่างขึ้นเป็นอันดับถัดมา สายที่ข้อมือของน.ช.บัณทิตหลุดออกมาอีก น้ำยาฉีดพุ่งไปทั่วพื้น เจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษเข้าไปแก้ไข แต่เมื่อปล่อยน้ำยาเข้าไปใหม่ก็หลุดอีก ข้าพเจ้าเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงหลุดบ่อยและหลุดอยู่รายเดียว พี่พิทักษ์ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมเจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษบอกข้าพเจ้าว่าสงสัยจะรัดเข็มขัดที่ข้อมือแน่นไปทำให้น้ำยาเดินไม่สะดวก ข้าพเจ้าจึงคลายสายที่รัดข้อมือขวาของน.ช.บัณฑิตออก เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยยาชนิดที่สองซ้ำเข้าไปอีกครั้ง เสียงสัญญาณชีพจรจากเครื่องยังคงดัง“ปี๊ป ปี๊ป ปี๊ป” เป็นจังหวะแต่เริ่มช้าลง
ไฟสีแดงสว่างขึ้นเป็นสีสุดท้าย เสียงสัญญาณชีพจรจากเครื่องตรวจวัดของน.ช.จีรวัฒน์ดังยาว “ปี๊ปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป” แสดงว่าน.ช.จิรวัฒน์ได้สิ้นใจไปแล้ว แต่เสียงของเครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพจรของน.ช.บัณฑิตยังคงดังเป็นจังหวะช้าๆ
สายที่ข้อมือหลุดออกจากเข็มอีกครั้ง ข้าพเจ้าเข้าไปช่วยปลดเข็มขัดที่แขนขวาทั้งสองเส้นจนหลวม เมื่อมองไปที่ร่างของน.ช.จิรวัฒน์ซึ่งน่าจะสิ้นลมไปแล้วที่เตียงใกล้กัน เห็นที่แขนและใบหน้ามีสีแดงขึ้นเป็นจ้ำๆ คล้ายเป็นลมพิษ เจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษปล่อยน้ำยาเข้าสู่ร่างของน.ช.บัณฑิตอีกครั้งหนึ่ง เสียงสัญญาณชีพจรดังช้าลงเรื่อยๆ แต่ก็ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีกว่าที่เสียงดังยาวของเครื่องจับสัญญาณจะดังขึ้น นั่นคือเสียงที่บอกว่าน.ช.บัณฑิตได้สิ้นใจไปแล้ว
แพทย์เข้ามาตรวจที่ร่างของนักโทษประหารทั้งสอง พร้อมกับกล่าวยืนยันว่านักโทษทั้งสองได้สิ้นใจไปเป็นที่เรียบร้อย
เจ้าหน้าที่ผู้ให้สัญญาณการประหารสั่งให้นำร่างของนักโทษเข้าเก็บในตู้แช่เย็น เจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษช่วยกันปลดสายเครื่องตรวจจับสัญญาณชีพจรออก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่จากกองทะเบียนประวัติอาชญากรเข้ามาพิมพ์ลายนิ้วมือตามระเบียบ เสร็จแล้วข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทุกนายช่วยกันนำร่างของนักโทษประหารทั้งสองลงนอนในถาดแล้วเก็บเข้าในตู้แช่เย็น ข้าพเจ้าทำความเคารพและกล่าวคำขอขมาต่อนักโทษประหารทั้งสองอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ประจำห้องประหารนำกุญแจมาปิดล็อคตู้แช่เย็น เป็นการเสร็จสิ้นหน้าที่พี่เลี้ยงในการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาและสารพิษครั้งแรกของข้าพเจ้า
ขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณของนายจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์ และนายบัณฑิต เจริญวานิช ซึ่งข้าพเจ้าและเจ้าหน้าที่ทุกนายได้กระทำตามหน้าที่
ขอชมเชยการตั้งด่านตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด จนสามารถสกัดจับยาบ้าจำนวนมากได้ก่อนที่จะไปสร้างความเสียหายให้กับคนไทยทั้งประเทศ