หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

"เวินพระสุก" ปริศนาพระศักดิ์สิทธิ์กลางลำน้ำโขง

โพสท์โดย คุณชายชุน
เจ้าสุก เจ้าใส เจ้าเสริม พระธิดาในพระไชยเชษฐาธิราช 
 
   ตามประวัติของ"หลวงพ่อพระสุก" กล่าวไว้ว่า พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง เป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใส มีขนาดลดกันตามลำดับ พระสุกนั้นเป็นพระประจำพี่ผู้ใหญ่ พระเสริมประจำคนกลาง ส่วนพระใสประจำคนสุดท้อง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านช้าง ใช้ทองคำเป็นส่วนผสมหลัก
 
  ในการหล่อองค์พระทั้ง3นั้น มีพิธีการทางบ้านและทางวัดช่วยกันใหญ่โต มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะ นำเป็นเวลา 7 วันแล้วทองก็ยังไม่ละลาย ถึงวันที่ 8 เวลาเพล เหลือหลวงตากับสามเณรน้อยรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ได้ปรากฏชีปะขาว ตนหนึ่งมาขอช่วยทำ หลวงตากับเณรน้อยจึงไปฉันเพล ญาติโยมที่มาส่งเพลจะลงไปช่วยแต่มองไปเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันสูบเตาอยู่ แต่เมื่อถามพระ พระมองลงไปก็เห็นเป็นชีปะขาวตนเดียว พอฉันเพลเสร็จคนทั้งหมดจึงลงมาดู ก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เหตุเพราะได้เห็นทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้ง 3 เบ้า แล้ว และไม่เห็นชีปะขาวแล้ว
 
เจ้าสุก เจ้าใส เจ้าเสริม  ทรงหารือในการสร้างพระประจำพระองค์
 
หลังสร้างเสร็จพระสุก พระเสริม และพระใส ได้ประดิษฐานไว้ ณ เมืองหลวงอาณาจักรล้านช้าง มาช้านาน คราใดที่เกิดสงครามบ้านเมืองไม่สงบสุข ชาวเมืองก็จะนำพระพุทธรูปทั้งสามไปซ่อนไว้ที่ภูเขาควาย ( https://board.postjung.com/m/723844.html )  หากเหตุการสงบแล้วจึงนำกลับมาไว้ดังเดิม ส่วนหลักฐานที่ว่าประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ตั้งแต่เมื่อใดนั้นยังไม่มีปรากฏแน่ชัด ทราบเพียงว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทำลายเมืองเวียงจันทน์เสียสิ้น จึงให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ได้เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ เมื่อเมืองเวียงจันทน์สงบแล้ว จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใสมาที่จังหวัดหนองคาย
 
มีคำบอกเล่าว่า คราที่อัญเชิญมานั้น ไม่ได้อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์โดยตรงแต่อัญเชิญมาจากภูเขาควาย ซึ่งชาวเมืองนำไปซ่อนไว้ การอัญเชิญนั้นได้ประดิษฐานหลวงพ่อทั้งสามไว้บนแพไม้ไผ่ล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงเวินแท่นได้เกิดอัศจรรย์ คือ แท่นของพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุแรงจัดพัดแพจนเอียงชะเนาะที่ขันพระแท่นติดกับแพไม่สามารถที่จะทนน้ำหนักของพระแท่นไว้ได้ บริเวณนั้นจึงชื่อว่า “เวินแท่น” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
 
เหตุการณ์ขณะแพแตกในคราอัญเชิญพระสุกมายังฝั่งไทย ปัจจุบันบริเวณนี้เรียกว่า "เวินสุก" 
 
ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขง ตรงปากงึม เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ “เวินสุก”ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใสมาถึงหนองคาย สำหรับพระใสนั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระเสริมได้ อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ และพระสุก ได้สร้างองค์จำลองไว้ที่วัดศรีคุณเมือง ณ ปัจจุบัน
 
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริมจากวัดโพธิ์ชัยลงไปยังกรุงเทพฯ ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วย แต่เกิดปาฏิหาริย์ โดยพราหมณ์ผู้อัญเชิญนั้นไม่สามารถขับเกวียนนำพระใสไปได้ แม้จะใช้กำลังคนหรืออ้อนวอนอย่างไรก็ตาม จนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก จึงปรึกษาตกลงกันว่าให้อัญเชิญพระใสมาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยแทนพระเสริม ซึ่งอัญเชิญไปกรุงเทพฯ เมื่ออธิษฐานดังกล่าวพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้
 
พระใส ปัจจุบันประดิษฐาน ณ อุโบสถวัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย
 
 
 
พระเสริม(องค์ด้านหลังสุด) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทน์
 
 
 นับตั้งแต่การอัญเชิญองค์พระพุทธรูปทั้ง 3 ล่องมาทางแม่น้ำโขงในครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น องค์พระสุกได้จมลงในแม่น้ำโขงจนถึงปัจจุบันนี้ โดยหลายสิบปีก่อนหน้านี้ ได้เคยมีการประกอบพิธีอัญเชิญองค์พระสุกขึ้นจากน้ำ เพื่อจะได้นำมาประดิษฐานไว้คู่เคียงกับพระใส แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ชาวบ้านและพระภิกษุที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า "ในขณะที่พิธีอัญเชิญเริ่มขึ้น องค์พระสุกค่อยๆ ลอยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเองได้ประมาณหน้าอกขององค์พระ แต่แล้วก็กลับจมลงไปอีก" สรุปคือ ไม่สามารถอัญเชิญขึ้นมาได้ แม้ต่อมามีความพยายามทำพิธีอัญเชิญอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ  เนื่องด้วยประชาชนในท้องถิ่น (รวมทั้งถิ่นอีสานส่วนมากด้วย) เชื่อว่าเหตุที่ไม่สามารถอัญเชิญองค์พระสุกขึ้นจากน้ำได้เป็นผลสำเร็จนั้น เป็นเพราะพญานาคไม่อนุญาต หรือหากอัญเชิญขึ้นมาได้พญานาคอาจไม่พอใจ เพราะหลายคนเชื่อว่าพระสุกเป็นพระที่เหล่าพญานาคอัญเชิญไปสักการะ ณ ภพนาค  ซึ่งหากอัญเชิญขึ้นมาพญานาคอาจดลบันดาลเหตุเภทภัยต่างๆ นานาให้เกิดขึ้นได้
 
"เวินสุก" จุดที่พระสุกจมลงสู่ก้นลำน้ำโขง
 
  นอกจากนี้ยังมีการเล่าขานถึงเหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย ว่า พระราชธิดาสุก พระราชธิดาพระองค์โตของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคนหุต ได้ไปเกิดเป็นพระมเหสีของพญานาคในเมืองบาดาลที่มีความศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งคือ พญานาคที่พ่นบั้งไฟเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษา พระมเหสีมีความปรารถนาที่จะดูแลเองเพราะเป็นพระพุทธรูปประจำตัวของพระนาง จึงได้บันดาลให้เกิดพายุฝน จนทำให้เรือแพที่อัญเชิญมาล่มลง และนำพระสุกไปดูแลเองที่เมืองนาคบาดาลใต้ลำน้ำโขง
 
 นอกจากนี้บางก็เชื่อว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล เป็นเหตุให้เมื่อมีการขนย้ายผ่านลำน้ำโขง พระสุกจึงจมลงน้ำเพียงองค์เดียว
 
 ด้วยเหตุนี้หลายคนเชื่อว่าเหตุที่ อัญเชิญพระสุกขึ้นมาจากลำน้ำโขงไม่สำเร็จก็เพราะพระมเหสีพญานาค ที่เป็นอดีตราชธิดาองค์ใหญ่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นเจ้าของพระสุกไม่อนุญาต จึงทำให้อัญเชิญขึ้นมาไม่สำเร็จ แต่ถ้าเมื่อใดที่พญานาคอนุญาตก็จะสามารถอัญเชิญได้สำเร็จ
 
ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าพญานาคเป็นผู้อัญเชิญพระสุกลงไปสักการะ ณ วังบาดาล
 
  ต่อมาประมาณปี 2535 พระครูพิสัยกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดหลวง และเจ้าคณะอำเภอโพนพิสัย พร้อมด้วยญาติโยม มีความประสงค์จะก่อสร้างเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระสุก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์จำลอง จากองค์จริงที่จมอยู่ใต้ลำน้ำโขง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธาได้มาเคารพกราบไหว้ สักการะ 
 
พระสุกองค์จำลอง ณ อุโบสถวัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
 
 
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ภายในเจดีย์อันเป็นที่ประดิษฐานพระสุกจำลอง คือ บริเวณเพดานเหนือองค์พระสุกจำลองได้มีน้ำไหลหยดออกมาจากปล่องเพดานตลอดปี ซึ่งไม่ทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากไหน พระครูพิสัยกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดหลวง จังหวัดหนองคาย ได้ให้ช่างขึ้นไปสำรวจดูบริเวณยอดเจดีย์ว่ามีรอยรั่วหรือมีน้ำขังอยู่หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ยอดเจดีย์ทรุด และทำให้พื้นเจดีย์ได้รับความเสียหาย แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีน้ำขังอยู่ และไม่มีรอยรั่วรอยร้าวใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ช่างหลายคนพยายามที่จะหาวิธีแก้ไขแต่ก็ไม่หาย ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากไหน และหยดลงมาได้อย่างไร ต่อมาผู้มีญาณท่านหนึ่งกล่าวว่า "เหตุที่มีน้ำหยดเกิดขึ้นตลอดเวลานั้นเนื่องจาก มีพญานาคตนหนึ่ง นำน้ำมาหล่อเลี้ยงและปกปักรักษาองค์พระพุทธรูปหลวงพ่อพระสุกอยู่ ไม่ให้เกิดเหตุเภทภัยขึ้น"
 
 
ในปัจจุบันนี้องค์พระสุกก็ยังจมอยู่ใต้แม่น้ำโขง เป็นปริศนาที่รอการพิสูจน์ต่อไป
 
ที่มา: http://www.banloktip.com/webboard/index.php?topic=1273.0 , wikipedia, palungjit , คุณชายชุนเรียบเรียง
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
คุณชายชุน's profile


โพสท์โดย: คุณชายชุน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
144 VOTES (4/5 จาก 36 คน)
VOTED: แจ๋วยูนิเวอร์ส
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สำนักงานพุทธฯ สั่งตรวจสอบ พ่อแม่ "น้องไนซ์" เชื่อมจิตเอาอีกแล้ว! เขมรก็อปปี้หนังไทย เรื่องเด็กหญิงวัลลี ยอดกตัญญู?
ตั้งกระทู้ใหม่