ระบบการศึกษาไทย พังเพราะนักวิชาการศึกษา หรือนักการเมือง
ระบบการศึกษาไทยพังเพราะนักวิชาการศึกษา หรือนักการเมือง
การศึกษาของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่รูปแบบความคิดเกิดจากผลงานด้านวิชาการของนักวิชาการศึกษาที่เสนอผลงานเพี่อประเมินตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้น โดยอ้างอิงแนวคิดจากรูปแบบของประเทศฝั่งตะวันตก แต่มิได้คำนึงถึงบริบทซี่งเป็นรากเหง้าของสังคมไทย คิดว่าระบบการเรียนการสอนแบบฝรั่งจะทำให้ระบบการศึกษาของไทยดูเป็นสากลขึ้น ส่วนนักการเมืองของไทยก็สนใจเฉพาะการปรับปรุงการศึกษาที่เป็นเมกกะโปรเจกเท่านั้น อย่างเช่น การยุบโรงเรียนเล็กแล้วจัดหารถมาบริการ การซื้ออุปกรณ์แจกเป็นต้น โดยไม่คำนึงถึงระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
รากเหง้าการศึกษาของไทยอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมประเพณีและสภาพแวดล้อม(บริบทหลัก) บรมครูไทยในอดีตท่านสอนอย่างไรให้คนไทยอ่านเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนักวิชาการศึกษาปัจจุบันที่อายุ ๔๐ ปี ขึ้นไป ที่ได้รับการสอนภาษาไทยในรูปแบบเดิม ทำไมท่านเหล่านี้สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างแตกฉาน ท่านนักวิชาการศึกษาท่านลืมอดีตของท่านแล้วหรือ การท่องจำ(แบบนกเแก้วนกขุนทองที่นักวิชาการปัจจุบันว่า)ในบางเรื่องเป็นสิ่งจำเป็น อย่างเช่น หลักการใช้สระไอ (ใ)ที่คนโบราณแต่งเป็นกลอนให้ท่องจำ ทำให้เราจำได้ว่า (ใ) มีใช้ในภาษาไทยกี่คำ หรือการท่องสูตรคูณ มาตราตวงวัด ทำให้เราจำได้อย่างขึ้นใจจนถึงปัจจุบัน หากจะใช้ความคิดของนักวิชาการศึกษาที่ว่า ต้องคิดวิเคราะห์ทดลอง ทดสอบ ให้ได้ความรู้ ถามว่าสูตรคูณ ต้องคิดวิเคราะห์อีกหรือว่าได้มาอย่างไร จริงหรือไม่ ทั้งที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันมาแล้วจากนักวิชาการทั่วโลก
จึงอยากให้นักวิชาการศึกษาไทยและผู้มีอำนาจทางการศึกษาได้กลับมาทบทวนระบบการศึกษาของไทยใหม่อีกครั้ง
ระดับชั้นอนุบาล ควรได้รับการศึกษาภาษาไทย เน้นอ่าน- เขียนได้ (ที่สำคัญต้องให้ท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองจะทำให้เขาซึ่งอยู่ในช่วงเรียนรู้จำได้แม้น) ภาษาอังกฤษ เน้นสนทนาเท่านั้น (ไม่ต้องอ่านและเขียน) เพื่อเป็นการเริ่มต้นการศึกษา เหมือนคนไทยเรียนภาษาไทยจากพ่อแม่ เมื่อเริ่มฟังก็จะเริ่มหัดพูด ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันอยากให้คนไทยเก่งต้องให้ฟังและพูดตั้งแต่อนุบาลโดยไม่เน้นหลักการใช้ภาษา ท่านเคยสงสัยไหมทำไม่ภรรยาฝรั่งที่จบการศึกษาเพียงประถม ๔ จึงสนทนาภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี(ฝรั่งรู้เรื่อง) พวกนี้จะเรียนจากการสนทนาเป็นหลัก อ่านเขียนไม่ค่อยได้ ระดับอนุบาลไม่ควรเรียนมากเกินไป คณิตศาสตร์แค่รู้จักเลขบวกลบเป็น และมีวิชาเสริม คอมพิวเตอร์ วาดรูป พละ ก็เพียงพอ
ระดับประถม ควรเน้นไปที่ หลักการใช้ภาษาไทย เริ่มเขียนอ่านภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์เบื้องต้น วิทยาศาสตร์ และวิชาเสริมเพื่อผ่อนคลายบางชุดวิชาเท่านั้น
ระดับมัธยมต้น ควรเน้นเพิ่มเติมไปที่วิชาที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตประจำวันหรือวิชาหลักที่ใช้สำหรับการศึกษาต่อเท่านั้น
ระดับมัธยมปลาย ต้องเน้นวิชาชีพเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ และวิชาที่ใช้สำหรับการศึกษาต่อกรณีผู้ประสงค์จะศึกษาต่อ
ถ้าสามารถจัดระบบการศึกษาได้ดังนี้ จะทำให้นักเรียนของไทยไม่ต้องรับภาระหนักในการศึกษาอย่างที่เป็นอยู่ที่บรรจุเหนือหาสาระเต็มไปหมด จนไม่มีเวลาพัก และต้องแบกตำราหลายกิโลกรัมไปเรียหนังสือ