สารพิษรอบตัว ทำลายสุขภาพอะไรเราบ้าง
ปัจจุบันคนเรามีภาวะเสี่ยงต่อการรับสารพิษทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นพ.พลวิช กล้าหาญ ผู้เชียวชาญด้านการปรับสมดุลจาก AMC Clinic ให้ข้อมูลว่าโรคที่พบในปัจจุบัน อาทิ ภูมิแพ้ โรคผิวหนัง สิวเรื้อรัง ไมเกรน ฯลฯ สาเหตุหนึ่งคือเกิดจากการสะสมของสารพิษในร่างกาย ซึ่งบางอย่างเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากเสียจนคาดไม่ถึง
@ ควันพิษจากรถยนต์ การสูดอนุภาคเล็กๆ ของสารเคมีที่เกิดจากเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดแตก ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดบริเวณขา (โรคดีวีทีซึ่งจะเกิดขึ้นกับผู้ที่นั่งนานๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนอิริยาบถ) โดยสารเคมีดังกล่าวทำให้เลือดมีความข้นเหนียว จนทำให้เกิดลิ่มเลือด และอุดตัน
@ พลาสติคและกล่องโฟม ที่มักถูกนำไปใช้ในการบรรจุอาหารร้อน และมีน้ำมัน ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนสูงจะทำให้สาร 2 ชนิดคือ เบนซิน (Benzene) และ สไตรี (Styrene) สารดังกล่าวจะละลายได้ดีในอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน สำหรับเบนซินหากได้รับเข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานาน อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจางหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ ส่วนสไตรีน เมื่อถูกผิวหนังหรือเข้าตาจะทำให้ระคายเคือง หากสูดดมเข้าไปจะมีอาการไอ และหายใจลำบาก เพราะไปทำให้เยื่อเมือกเกิดความระคายเคือง ปวดศรีษะ ง่วงซึม
@ ไมโครเวฟ จากการศึกษาค้นคว้าของสหภาพโซเวียตถูกตีพิมพ์โดย Atlantis Rising Educational Center บอกถึงการทดสอบดังนี้
1) เนื้อสัตว์ที่ถูกปรุงสุกเพื่อการรับประทานจะเกิดการก่อตัวของสารที่เรียกว่า d-Nitrosodiethanolamines หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
2) กรดอะมีโนในนมและธัญพืชที่ถูกอุ่นให้ร้อนโดยเตาไมโครเวฟจะถูกแปลงเป็นสารก่อมะเร็ง
3) การให้ความร้อนกับผลไม้แข่แข็งจะทำได้สารประกอบภายในที่เป็นน้ำตาลและแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง
4) การปรุงผักให้สุกโดยเฉพาะผักที่มีรากเป็นการรวมกลุ่มธาตุของสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งเข้าด้วยกัน ปฎิกริยานี้จะเกิดขึ้นมากที่รากของพืชนั้นๆ
@ ครีมกันแดด มีไทเทเนียมไดออกไซต์ ซึ่งพบในหลายผลิตภัณฑ์ตั้งแต่สีทาบ้านไปถึงอาหารและเครื่องสำอาง อนุภาคไทเทเนียมไดออกไซต์ในสารกันแดดที่มีขนาดเล็กอาจจะสามารถแทรกผ่านผิวเซลล์ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ DNA เมื่อได้รับแสง และเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง สำหรับไทเทเนียมไดออกไซต์ที่มีขนาดใหญ่ มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการสะท้อนหรือดูดกลืนแสงอัลตราไวโอเลตได้ ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอนุภาคของสารสีขนาดเล็ก
@ ยาแก้ปวดและแก้อักเสบ คนไทยมีการใช้พาราเซตามอนมากเกินความจำเป็น จนเข้าขั้นอันตรายต่อการดื้อยา และส่งผลข้างเคียงต่ออวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยาพาราเซตามอล แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ เนื่องจากจะมีผลต่อระบบต่างๆ ทั้งระบบของทางเดินอาหาร หากใช้ยาเกินปริมาณมากจะเป็นพิษต่อตับ จนเกิดเป็นภาวะตับวายและเสียชีวิตในที่สุด
@ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมต่างๆ พบว่ามีสารพิษมากมาย อาทิ แชมพูรักษาหนังศรีษะจะมีสารโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อการระคายเคืองของผิวหนังและดวงตา ผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมมีสารซัลเฟตโทลูอี อาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งกับระบบประสาทที่เป็นพิษต่อสมอง และ ศูนย์กลางของไตและตับ