สิ่งหนึ่งที่ควรทำสักครั้งในชีวิต...
สิ่งหนึ่งที่ควรทำสักครั้งในชีวิต...
หลายๆ คนคงเคยมีเป้าหมายในชีวิตว่าเราต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้สักครั้งในชีวิต
เราเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
หลายๆ ครั้งที่เรานั่งอยู่เฉยๆ แล้วก็คิดโน้น คิดนี้ไปตามเรื่องตามราว ว่าวันนี้เราทำอะไรไปแล้วบ้าง
และยังเหลืออะไรที่ยังไม่ทำหรือยังทำไม่สำเร็จบ้าง แล้วก็มาหยุดคิดอยู่ที่เรื่องหนึ่ง
ที่ยังทำไม่สำเร็จจริงๆ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราตั้งใจไว้ว่าครั้งหนึ่งของชีวิตต้องทำให้ได้
นั้นก็คือ “การบริจาคโลหิต”
เหตุผลที่ทำให้เราอยากจะบริจาคโลหิต มันเริ่มจากข่าวของความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความรุนแรงที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ
และประชาชนในพื้นที่ต้องบาดเจ็บและล้มตาย บางคนกำลังต้องการเลือดเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด...
ยิ่งเห็นก็ยิ่งสะเทือนใจ
แล้วก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า...
“แล้วเราหล่ะ เราก็ช่วยเขาได้ไม่ใช่เหรอ
แค่เลือดของเราเท่านั้นเองก็ช่วยชีวิตพวกเขาได้แล้วนี่...”
คิดเสร็จก็ไม่รีรอ เริ่มตั้งเป้าไว้ในใจว่า ยังไงก็ต้องบริจาคโลหิตให้ได้
เพื่อจะได้เอาเลือดของเราไปช่วยชีวิตคนอื่นบ้าง...เพราะการบริจาคโลหิตนั้น
เป็นการช่วยเหลือผู้คนที่กำลังตกอยู่ในความเป็นความตาย ให้รอดพ้นจากมือมัจจุราช
ที่กำลังรอรับตัวอยู่ก็เป็นได้ ถึงผู้ที่รับเลือดเราไปเขาจะรอดหรือไม่รอดชีวิตก็ตาม
แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ...
“คิดยังไงทำไมถึงอยากจะบริจาคเลือด”
“น่ากลัวจะตาย เข็มอันเบ้อเร้อเลยนะพี่ ไม่กลัวเหรอ...”
“ไม่กลัวเป็นลม เป็นแล้งเหรอ ยิ่งตัวเล็กๆ อยู่ด้วย”
“ต้องทำงานแล้วเลิกตอนดึกๆ อย่างเราจะบริจาคได้เหรอ”
และอีกหลายคำถามที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มักจะถามเราอยู่เสมอที่รู้ว่าเราจะไปบริจาคเลือด
บ้างคำถามฟังแล้วก็ไม่รู้จะด่ามันว่ายังไง ที่หนักๆ ที่น่าเคาะหัวมันสักโหล เพราะไม่รู้ว่า
มันไปมุดถ้ำไหนอยู่ถึงได้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาซะเลย ก็อย่างเช่น ...
“ไม่กลัวติดเอดส์เหรอพี่... เค้าบอกว่าเคยมีคนบริจาคเลือดแล้วก็ติดเอดส์มาด้วยเป็นของแถมนะ”
มันเป็นเรื่องที่โบราณมากๆ แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้เค้าป้องกันเป็นอย่างดี...
มันก็ยังอุตสาห์จะกลัวอยู่ได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไอ้น้องคนเนี่ยมันเป็นโรคกลัวเข็มขึ้นสมอง
ก็เลยหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนซะงั้น ...
มะโหนกเคยไปบริจาคถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ผ่านทั้ง 2 ครั้ง
ครั้งแรก...
หลังจากผ่านขั้นตอนการคัดกรองประวัติต่างๆ เรียบร้อย ชั่งน้ำหนัก
แล้วก็เข้าไปวัดความดัน ตามมาด้วยการตรวจเช็คเลือดว่าเลือดลอยหรือเปล่า
และดูความเข้มข้นของเลือดว่าถึงเกณฑ์มั้ย....
ตรวจเสร็จเราก็นั่งรอด้วยใจระทึก และด้วยหัวใจที่พองโตว่าวันนี้จะได้ทำความดี
เพื่อถวายพ่อหลวงของเราซะทีเพราะเป็นความตั้งใจที่อยู่ในใจเราตลอดมา...
นั่งรอไป ก็นั่งมองดูหยดเลือดของตัวเองที่กำลังจมลงไปในน้ำยาที่ใช้สำหรับตรวจวิเคราะห์ผลเลือด
ไม่ถึง 5 นาทีก็รู้ผล....
“เลือดไม่ผ่านนะคะ”
“อ้าววว... เพราะอะไรค่ะ”
“ความเข้มข้นเลือดของน้องไม่ถึงเกณฑ์ค่ะ”
“ของน้องแค่ 11.7 เอง”
“เหรอค่ะ มันต้องเท่าไรค่ะถึงจะเข้าเกณฑ์”
“ต้อง 12 ขึ้นไปค่ะ”
“เหรอค่ะ คะขอบคุณค่ะ”
รับคำพร้อมกับความรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่ไม่ได้บริจาคโลหิตในวันนี้
“ไม่ต้องเสียใจนะ อะเอายาบำรุงไปกิน กินให้หมดนี่นะเดือนหนึ่ง แล้วค่อยมาใหม่”
เราหยิบยาขึ้นมาดู มันเป็นยาบำรุงเลือดนั่นเอง...
ปกติเราเป็นคนที่ไม่ชอบกินยาเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าต้องเลือกระหว่างกินกับฉีดยา
เราขอเลือกฉีดยาดีกว่า
แต่ในใจก็คิดว่า... “เอาว่ะกินก็กิน ก็ตั้งใจไว้แล้วนี่ ยังไงก็ต้องทำให้ได้”
หลังจากผ่านไป 1 เดือน พร้อมกับยาอีกถุงเบ้อเร้อที่เรากินจนเกลี้ยง...
ก็มุ่งหน้าตรงไปที่สภากาชาดไทยอีกครั้ง ด้วยความตั้งใจที่จะบริจาคโลหิตเหมือนเดิม
ขั้นตอนทุกอย่างเหมือนเดิม... แล้วก็รอฟังผล...
“เลือดไม่ผ่านนะคะ”
“ความเข้มข้นเลือดไม่ถึงค่ะ”
“จริงเหรอค่ะ...อีกแล้วเหรอค่ะ”
“ใช่... น้องกินยาหมดรึเปล่า”
“กินจนไม่เหลือซักเม็ดเลยนะคะ”
“แต่คราวนี้ความเข้มข้นน้อยกว่าคราวที่แล้วอีกนะ แค่ 11.5 เอง”
“เหรอค่ะ ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับหยิบยาบำรุงเลือดที่เขาให้มาอีกเต็มกำมือ
รวมๆ แล้วก็กินอีกประมาณ 1 เดือน
แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าอีก 1 เดือนที่ต้องกินยาบำรุงนี้มันจะส่งผลให้ความตั้งใจที่จะทำความดี
ในการบริจาคโลหิตนี้เป็นจริงได้รึป่าว...
แต่เราก็จะยังไม่หยุดความตั้งใจ ลูกทหารอย่างเราไม่ย่อมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว
และอยากจะเชิญชวนให้เพื่อนๆ ได้มาร่วมกันทำความดี และช่วยเหลือผู้อื่นในรูปแบบของ
การบริจาคโลหิต นอกจากจะได้กุศลอันยิ่งใหญ่แล้วยังได้ความภาคภูมิใจอีกด้วย ....
“ร่วมกันบริจาคโลหิต เพื่อช่วยชีวิตผู้รอคอย”
เป็นคำขวัญที่มะโหนกบัญญัติขึ้นมาสำหรับตัวเองเลยนะเนี่ย...
การบริจาคเลือดมีขั้นตอนและวิธีการเตรียมตัว ที่พอจะบอกคราวๆ
สำหรับผู้ที่สนใจ ดังนี้ ...
คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์
- น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี
- ไม่มีประวัติโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ไม่เป็นไข้มาเลเรียมาในระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่างๆ
ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือดชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้
โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์
- ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักลดมากในระยะสั้น
- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติติดยาเสพติด
- งดการบริจาคโลหิตภายหลังผ่าตัด คลอดบุตรหรือแท้งบุตร 6 เดือน
(ถ้ามีการรับโลหิตต้องงดบริจาคโลหิต 1 ปี)
- สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์
ดูแลตัวเองก่อนมาบริจาคโลหิต
- ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
- ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ดีทุกประการไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาใดๆ
- ควรรับประทานอาหารมาก่อน และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มีไขมัน
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
- สุภาพสตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์
- การบริจาคโลหิตครั้งต่อไปเว้นระยะ 3 เดือน ยกเว้นการบริจาคพลาสมาหรือเกล็ดโลหิต
ปล.จขกท บริจาคมาแล้ว 7 ครั้งคร้าา อยากชวนเพื่อนๆไปบริจาคกันเยอะๆนะคะ ^^