ออร่า มหัศจรรย์แห่งแสงในกายมนุษย์ กับเรื่องเล่าน่าขนลุก
โพสท์โดย mata
คัดลอกมา บางส่วน ใน ออร่า มหัศจรรย์แห่งกายแสงมนุษย์ จากหนังสือ มิติที่ 3
ในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง เป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย
หากท่านได้เห็นสิ่งมีชีวิตเรืองแสงเหล่านี้ ท่านคงจะไม่นึกตระหนกตกใจอะไรมาก นอกจากบางทีอาจจะทึ่งในความพิศดารที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา แต่ถ้าท่านบังเอิญเดินไปในที่เปลี่ยวยามรำคืนและท่านไปพบกับคนที่มีแสงเรืองในตัวเองเข้าบ้างล่ะ ท่านจะนึกอย่างไร?
เรื่องที่เล่าแบ่งกันฟัง เขาว่ามันมีอยู่จริงๆ เพราะ “มนุษย์เรืองแสง” นั้นไม่ใช่ผีปีศาจ แต่เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ หรือเรื่องโม้ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคนได้เคยพบเห็นและยอมรับว่ามีจริง ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้แล้วทั้งนั้น มีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายากเสียด้วย
จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine
มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึงเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า
....ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้ แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง ต่อมาปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ
บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์ ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและปรากฏการณ์อัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า
….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาลที่กำลังพยายามให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินออกมารอบตัววูบวาบไปหมด เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย
บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า
….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวมของโรงพยาบาลแห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฏแสงเรืองออกมาเป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่นลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่นแสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า
นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถันอยู่ในเลือดสูงผิดปกติ
แสงเรืองประหลาดจะปรากฏขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษาตรวจดูปรากฏการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้ บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถันในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นในอะตอมกำมะถันและสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง แต่คำอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้นไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงเรืองจึงเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโรนอนหลับเท่านั้น
มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึงเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า
....ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้ แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง ต่อมาปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ
บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์ ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและปรากฏการณ์อัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า
….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาลที่กำลังพยายามให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินออกมารอบตัววูบวาบไปหมด เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย
บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า
….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวมของโรงพยาบาลแห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฏแสงเรืองออกมาเป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่นลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่นแสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า
นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถันอยู่ในเลือดสูงผิดปกติ
แสงเรืองประหลาดจะปรากฏขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษาตรวจดูปรากฏการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้ บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถันในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นในอะตอมกำมะถันและสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง แต่คำอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้นไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงเรืองจึงเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโรนอนหลับเท่านั้น
ก็นี่แหละครับ ถ้ามนุษย์เกิดมีแสงขึ้นมาได้มันก็ปรากฏการณ์อัศจรรย์แปลกประหลาดอักโขอยู่ แต่สำหรับสัตว์บางชนิดหรือพวกเห็ดราแล้วละก็ นักชีวะเขารู้แน่ว่าสาเหตุมันเนื่องมาจากอะไร พวกหนอนกระสือหรือเจ้าตัวที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ทิ้งถ่วง” หรือหิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีแสงเรืองได้โดยธรรมชาติ และก็เป็นของธรรมดาๆ ที่ใครๆ คงเคยเห็นกันมาแล้ว
แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์ และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว
สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น
แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้ ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด
ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่ หรืออีกทีหนึ่งคงต้องมองกันในแง่จิตในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางกายภาพเลยก็ได้
รังสีมนุษย์
ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า“ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้
กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่
ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า
พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-
๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย
ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด
เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนกลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)
๒. กรรมรังสี (Karmic aura)
๓. ชีวรังสี (Vital aura)
๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของออร่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสุภาพของอารมณ์ เช่น
สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……
๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย
ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด
เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนกลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)
๒. กรรมรังสี (Karmic aura)
๓. ชีวรังสี (Vital aura)
๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……
รายละเอียดเพิ่มเติมหาอ่านได้ "ออร่า มหัศจรรย์แห่งกายแสงมนุษย์ จากหนังสือ มิติที่ 3"
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
56 VOTES (4/5 จาก 14 คน)