หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ออร่า มหัศจรรย์แห่งแสงในกายมนุษย์ กับเรื่องเล่าน่าขนลุก

โพสท์โดย mata

คัดลอกมา บางส่วน ใน ออร่า มหัศจรรย์แห่งกายแสงมนุษย์ จากหนังสือ มิติที่ 3

ในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง  เป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย  


หากท่านได้เห็นสิ่งมีชีวิตเรืองแสงเหล่านี้ ท่านคงจะไม่นึกตระหนกตกใจอะไรมาก นอกจากบางทีอาจจะทึ่งในความพิศดารที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา แต่ถ้าท่านบังเอิญเดินไปในที่เปลี่ยวยามรำคืนและท่านไปพบกับคนที่มีแสงเรืองในตัวเองเข้าบ้างล่ะ  ท่านจะนึกอย่างไร?

เรื่องที่เล่าแบ่งกันฟัง เขาว่ามันมีอยู่จริงๆ  เพราะ “มนุษย์เรืองแสง” นั้นไม่ใช่ผีปีศาจ  แต่เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ หรือเรื่องโม้ใด ๆ ทั้งสิ้น  แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคนได้เคยพบเห็นและยอมรับว่ามีจริง  ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้แล้วทั้งนั้น มีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายากเสียด้วย 
 
จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine
มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึงเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่

....ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา  ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้  แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง  ต่อมาปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก  โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ  

บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์  ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและปรากฏการณ์อัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า
….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง  ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาลที่กำลังพยายามให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินออกมารอบตัววูบวาบไปหมด  เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย 

บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า

….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวมของโรงพยาบาลแห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฏแสงเรืองออกมาเป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่นลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่นแสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป  แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย  บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า
นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถันอยู่ในเลือดสูงผิดปกติ

แสงเรืองประหลาดจะปรากฏขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษาตรวจดูปรากฏการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา  เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้  บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถันในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นในอะตอมกำมะถันและสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง  แต่คำอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้นไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงเรืองจึงเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ  และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโรนอนหลับเท่านั้น 

ก็นี่แหละครับ ถ้ามนุษย์เกิดมีแสงขึ้นมาได้มันก็ปรากฏการณ์อัศจรรย์แปลกประหลาดอักโขอยู่  แต่สำหรับสัตว์บางชนิดหรือพวกเห็ดราแล้วละก็ นักชีวะเขารู้แน่ว่าสาเหตุมันเนื่องมาจากอะไร  พวกหนอนกระสือหรือเจ้าตัวที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ทิ้งถ่วง” หรือหิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีแสงเรืองได้โดยธรรมชาติ  และก็เป็นของธรรมดาๆ ที่ใครๆ คงเคยเห็นกันมาแล้ว

แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์  และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว

สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่  ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท  หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น  

แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด  และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้  ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด

ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ  ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่  หรืออีกทีหนึ่งคงต้องมองกันในแง่จิตในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางกายภาพเลยก็ได้

รังสีมนุษย์
ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม  แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า“ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว  อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น  แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้ 

กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ  ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่ 

ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า 
พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-
 
๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย

ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด
เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนกลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :

๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)
๒. กรรมรังสี (Karmic aura)
๓. ชีวรังสี (Vital aura)
๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
 
นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของออร่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสุภาพของอารมณ์ เช่น
สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……
 
รายละเอียดเพิ่มเติมหาอ่านได้ "ออร่า มหัศจรรย์แห่งกายแสงมนุษย์ จากหนังสือ มิติที่ 3"

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
mata's profile


โพสท์โดย: mata
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
56 VOTES (4/5 จาก 14 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทบ.มีคำสั่งให้ พล.ท.ณรงค์ สวนแก้ว เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ถูกย้ายจากตำแหน่ง หลังเกิดกรณีซ้อมที่รุนแรง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
'ไทเลอร์ ติณณภพ' ลูกชาย 'ธานินทร์' ดาวเด่นยุค 80 สู่พระเอกยุคใหม่"วิธีใช้รีโมทแอร์ในโหมดต่าง ๆ เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
ตั้งกระทู้ใหม่