ทาสในเรือนเบี้ย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมฯ ร.๕ พระองค์ท่านทรงประกาศเลิกทาส
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง
ทรงเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมราชสมภพเมื่อ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453)ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา
พระองค์ทรงปกครองอาณาประชา ราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมืองของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้วลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อๆ กั้นเรื่อยไป
ทาส หมายถึง บุคคลซึ่งถูกนับสิทธิเสมือนสิ่งของของผู้อื่น ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิต และมีหน้าที่รับใช้ผู้อื่นโดยมิได้รับการตอบแทนจากเจ้าของ (นายทาส) เช่น การรับใช้ทางด้านแรงงาน และหากไม่เชื่อฟังคำสั่ง อาจถูกลงโทษได้ตามแต่นายทาสจะกำหนด ยกเว้นเป็นการกระทำอันทำให้ถึงแก่ความตาย
โดยทาสในประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งได้ 7 ประเภท ดังนี้
- ทาสสินไถ่- เป็นทาสที่มีมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด โดยเงื่อนไขของการเป็นทาสชนิดนี้ คือ การขายตัวเป็นทาส เช่น พ่อแม่ขายบุตร สามีขายภรรยา ดังนั้น ทาสชนิดนี้จึงเป็นคนยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเองได้ จึงได้เกิดการขายทาสขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนสถานะกลับไปเมื่อมีผู้มาไถ่ถอน
- ทาสในเรือนเบี้ย-เด็กที่เกิดขึ้นระหว่างที่แม่เป็นทาสของนายทาส ทาสชนิดนี้ไม่สามารถไถ่ถอนตนเองได้
- ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก - ทาสที่ตกเป็นมรดกของนายทาส เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนายทาสคนเดิมเสียชีวิตลง และได้มอบมรดกให้แก่นายทาสคนต่อไป
- ทาสท่านให้ - ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่น
- ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ - ในกรณีที่บุคคลนั้น เกิดกระทำความผิดและถูกลงโทษเป็นเงินค่าปรับ แต่บุคคลนั้น ไม่มีความสามารถในการชำระค่าปรับ หากว่ามีผู้ช่วยเหลือให้สามารถชำระค่าปรับได้แล้ว ถือว่าบุคคลนั้น เป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ
- ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก - ในภาวะที่ไพร่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ประกอบอาชีพได้แล้ว ไพร่อาจขายตนเองเป็นทาสเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากนายทาส
- ทาสเชลย - ภายหลังจากได้รับการชนะสงคราม ผู้ชนะสงครามจะกวาดต้อนผู้คนของผู้แพ้สงครามไปยังเมืองของตน เพื่อนำผู้คนเหล่านั้นไปเป็นทาสรับใช้
โดยการที่จะหลุดพ้นจากการเป็นทาสได้นั้น สามารถเกิดขึ้นได้หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ คือ
- การหาเงินมาไถ่ถอน
- การบวชเป็นสงฆ์โดยได้รับความยินยอมจากนายทาส
- การไปสงครามและถูกจับเป็นเชลย หลังจากนั้น สามารถหลบหนีออกมาได้
- การแต่งงานกับนายทาสหรือลูกหลานของนายทาส
- ไปแจ้งทางการว่านายทาสเป็นกบฏ และผลสืบสวนออกมาว่าเป็นจริง
- การประกาศไถ่ถอนจากพระมหากษัตริย์ ในช่วงของการเลิกทาส
โดยการเป็นอยู่ของทาสนั้น จะดีร้ายอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับนายทาสผู้เป็นเจ้าของทาสเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีทาสจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ได้รับการดูแลเพียงอย่างดี โดยการมีทาสนั้นได้ดำรงอยู่เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งสมเด็จพระปิยะมหาราชได้ขึ้นครองราชย์และได้ทำการเลิกทาส สมเด็จพระปิยะมหาราชหรือรัชกาลที่ ๕ เป็นกษัตริย์ผู้ทรงปัญญาและทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก พระองค์ได้ทำพระราชกรณียกิจหลายอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและชนชาวไทย โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งคือ "การเลิกทาส"นั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นการสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์ไทย โดยการเลิกทาสของรัชกาลที่ ๕ นั้น ทรงเป็นไปอย่างมีขั้นตอนและสงบเรียบร้อย มิได้มีการปะทะกันหรือก่อให้เกิดสงคราม เหมือนดั่งการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกาที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างกองกำลังฝ่ายเหนือกับกองกำลังฝ่ายใต้
พระราชดำริของสมเด็จพระปิยะมหาราชในการเลิกทาสนั้น มีหลักฐานปรากฏว่าเริ่มมีเค้ามาตั้งแต่สมัยต้นราชการ แต่กว่าจะเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างก็อีกหลายปีต่อมา เพราะพระองค์นั้นทรงโปรดการทำงานที่มีความเตรียมพร้อมในทุกๆด้าน และเมื่อพร้อมแล้วก็รีบดำเนินการทันที ดังจะเห็นได้จากการประกาศขั้นตอนตามลำดับมา เช่น
ใน พ.ศ. 2417 พระองค์ได้ออกพระราชบัญญัติลูกทาส หญิงชายเกิดตั้งแต่ ปีมะโรงอายุ 21 ปี ให้หลุดเป็นไทแก่ตน ลูกที่พ่อแม่จะขายให้ไปเป็นทาสต้องมีอายุไม่ตํ่ากว่า 15 ปี และลูกต้องยินยอมตามกรมธรรม์ด้วย
ใน พ.ศ. 2448 ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสทั่วราชอาณาจักร ห้ามการซื้อขายทาส และบรรดาลูกทาสก็ให้ปลดปล่อยเป็นไทให้หมด พวกที่เป็นทาสเก่าให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท จนหมดค่าตัว