น้ำมะเน็ด น้ำผสมโซดายุคแรกของไทย
ในสมัยก่อน เมื่อเราทำงานเหนื่อยๆ ร้อนๆ กระหายน้ำสิ่งที่ที่เย็นชื่นใจที่สุดก็คงเป็นน้ำฝน หรือบางที่ก็ใส่ภาชนะเป็นเครื่องปั้นดินเผา เพราะจะทำให้น้ำที่บรรจุอยู่เย็นกว่าน้ำทั่วไป แต่เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมามีน้ำผสมโซดาได้นำเข้ามาในประเทศไทย ก็เป็นอะไรที่คนต้องฮือฮาเพราะเย็นซ่าแปลกใหม่ นั่นคือน้ำมะเน็ตนั่นเอง
รุ่นจุกก๊อก
รุ่นลูกแก้ว
ตรามือ
น้ำมะเน็ดเป็นน้ำอัดลมชนิดหนึ่งที่คนไทยเรียกเพี้ยนมาจากน้ำ Lemonade ของฝรั่ง คำว่า Lemonade แปลว่าน้ำมะนาวก็จริง แต่น้ำมะเน็ดไม่ใช่น้ำมะนาวเปรี้ยวแท้ๆ แต่เป็นน้ำมะนาวปลอมๆ ที่มีการแต่งรสแต่งสีแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับน้ำอัดลม ในยุคปัจจุบันคงใกล้เคียงกับน้ำสไปรท์ ฝรั่งเริ่มผลิตน้ำมะเน็ดขายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องหลังจาก จาคอบ ชเวพ (Jacob Schwepp) คิดทำน้ำโซดาได้เมื่อ พ.ศ. 2335หรือเมื่อราว 200 ปีก่อน สำหรับในเมืองไทยนั้นพบโฆษณาขายน้ำมะเน็ดในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ของหมอบรัดเลย์ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ.1866
โดยน้ำมะเน็ดในสมัยก่อนจะบรรจุอยู่ในชวดรีๆ แบบลูกรักบี้ และปิดปากขวดด้วยจุกไม้ก๊อก เขาออกแบบขวด ให้วางนอนขนานกับพื้นอยู่เสมอเพื่อไม่ให้จุกก๊อกแห้งและหด
จนเมื่อ ค.ศ. 1875 หรือ พ.ศ. 2418 ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประดิษฐ์ขวดแบบคอคอด และมีจุกลูกแก้วอยู่ที่ปากขวดโดย Hirem Codd จึงมีการบรรจุน้ำมะเน็ด รวมทั้งน้ำโซดา และน้ำอัดลมอื่นๆ ลงในขวดชนิดนี้ ในการบรรจุต้องจับหัวขวดให้คว่ำลง เมื่อน้ำอัดลมเข้าไปในขวดแล้ว แรงแก๊สจะดันลูกแก้วให้ลอยขึ้นไปแนบและแน่นติดกับวงแหวนยางที่ปากขวด เมื่อจะดื่มต้องเอาไม้กระแทกลูกแก้วลงไปแรงๆ ส่วนวิธีรินไม่ให้ลูกแก้วกลิ้งมาปิดปากขวด คือ ต้องหมุนขวดให้ลูกแก้วไปตกอยู่ระหว่างคอหยักที่เขาทำไว้จึงจะรินน้ำได้สะดวก
ช้าง 2 ขนาด
RCA
น้ำมะเน็ดเคยมีขายตามโรงหนังและตามร้านต่างๆ อยู่นานพอสมควร แต่ในที่สุดก็หายไปจากเมืองไทยเมื่อราว 50-60 ปีก่อน
จะเห็นว่าบ้านเรามีขายหลายยี่ห้ออยู่เหมือนกันนะครับ เพื่อนๆ ลองถามคุณปู่คุณย่าดูนะครับว่าเคยดื่มน้ำมะเน็ดกันบ้างหรือเปล่า เพราะความที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน มนุษย์จึงหาวิธีที่จะผลิตวัสดุต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ และเพราะเหตุผลนี้แหละครับที่ทำให้เราได้มีผลิตภัณฑ์ที่สวยคลาสสิคเป็นของสวยควรค่าแก่การเก็บรักษาจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ต่อไป
เรียบเรียงโดย พรชัย สังเวียนวงศ์
ขอบคุณภาพจาก Bloggang.com
ที่มา: lib.ru.ac.th