หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

'ฮิโรโกะ ยามากิชิ' คุณครูอูมามิ สาวญี่ปุ่นหัวใจไทย

โพสท์โดย ao

 

 การเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหารชิ้นนี้ ทำให้คนไทยรู้จักเธอในชื่อ 'ครูอูมามิ'มากขึ้น หากมองผิวเผิน เธอก็คงไม่ต่างจากนางแบบญี่ปุ่นทั่วไป ที่เข้ามาเพื่อมีผลงานในวงการบันเทิงบ้านเรา แต่หากได้ทำความรู้จักตัวตนของเธอจริงๆ เชื่อได้เลยว่า หลายคนจะต้องตกหลุมรักในความน่ารักสดใสและความเป็นมิตรของเธอ แถมยังเป็นคนมีจิตอาสาอย่างเต็มเปี่ยม เรียกว่ามาอยู่เมืองไทยครั้งแรกก็มาเพราะงานอาสาโดยตรง ซึ่งขัดกับบุคลิกคิกขุอาโนเนะของเธอไปมากโข


 ตัวจริงของฮิโรโกะไม่ได้ดูภูมิฐานหรือมีมาดขรึมอย่างในโฆษณา แต่เป็นสาวหน้าใส น้ำเสียงน่ารัก ดูอ่อนเยาว์กว่าในจอหลายเท่า แถมยังมีหัวใจแห่งความเป็นไทยอย่างล้นเหลือ ซึ่งเธอเล่าพร้อมรอยยิ้มว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหลงรักเมืองไทย ก็คือการทำงานเป็นอาสาสมัครโดยมีแรงบันดาลใจจาก 1 วันในห้องเรียนเท่านั้น 


 
ก่อนหน้านี้รู้จักเมืองไทยมาก่อนหรือเปล่า


 สมัยที่ฮิโรโกะเรียนไฮสคูล มีคนที่เคยทำงานเป็นอาสาที่ BANROMSAI มา Speechที่โรงเรียนค่ะ เลยได้รู้จักกับมูลนิธิ BANROMSAI หลังจากนั้นก็มีแรงบันดาลใจอยากมาทำงานอาสาสมัครที่นั่นบ้าง ก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมและเก็บเงินเอง เดินทางมาเมืองไทยเอง แต่ตอนที่บอกที่บ้านว่าจะมา พ่อโกรธมาก บอกว่าตัดพ่อตัดลูกเลย แต่ฮิโรโกะก็มา (หัวเราะ) คือครอบครัวไม่ค่อยสนิทกัน พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยนานมาก ตั้งแต่ฮิโรโกะอายุ 6 ปี พ่อเป็นคนดุมากๆ ด้วย โดนตีบ่อยจนกลัวพ่อมากๆ คุยกันไม่ไหว เพราะกลัวค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ฮิโรโกะมาเมืองไทยครั้งแรกตอนอายุ 19 ปี เรียนจบ ม.6 แล้วค่อยมาค่ะ


อยู่เมืองไทยมากี่ปีแล้ว


 ประมาณ 3 ปีกว่า ครั้งแรกมาไทยเมื่อปี 2004 มาเป็นอาสาสมัครที่บ้านเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อ HIV (BANROMSAI) อยู่เชียงใหม่ 6 เดือน แล้วก็กลับไปญี่ปุ่นเรียนต่อและทำงานต่อ มาอีกครั้ง ปี 2005 ก็มาเป็นอาสาอีกที่วัดพระบาทน้ำพุ และก็เรียนฝึกช้างที่ลำปาง ครั้งที่ 2 ที่มา ไม่ได้ตั้งใจทำอาสาสมัครอย่างเดียว อยากเรียนนวดด้วย เรียนฝึกช้างด้วย ทำงานอาสาด้วย จากนั้นก็มาอีกครั้งที่ 3 แต่ครั้งนี้มาเรียนคอร์สภาษาโทเฟล-ไอเอล เพราะตอนนั้นฮิโรโกะอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศ แต่มาคิดๆ ดูถ้าไปเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรงมันก็แพงใช่มั้ยคะ ทำให้อยู่ได้ไม่นาน ก็เลยตัดสินใจว่าทำงานที่ญี่ปุ่นสักพักเพื่อเก็บเงินมาเรียนที่ไทยดีกว่า เราไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่ด้วย ก็เรียนอยู่  8 เดือน


 พอเรียนคอร์สภาษาจบก็กลับญี่ปุ่นอีก ตอนนั้นจบ ม.6 ก็อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย อยู่ในช่วงที่ตัดสินใจว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี ตอนแรกๆ อยากไปประเทศเจ้าของภาษา อย่าง อเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย แต่ไปๆ มาๆ ก็ตัดสินใจมาเรียนที่เมืองไทยดีกว่า แล้วเลือกเป็นหลักสูตรอินเตอร์ จะได้ไม่ลืมภาษาไทยด้วย


สรุปว่าตอนนี้พูดได้ 4 ภาษา


 ค่ะ แต่ภาษาเกาหลีพูดได้นิดหน่อย เคยมีเพื่อนเกาหลีตั้งแต่สมัยอยู่จูเนียร์ไฮสคูลด้วยค่ะ ภาษาไทยเรียกว่า ม.ต้น  ใช่มั้ยคะ ส่วนที่เรียนตอนนี้คือหลักสูตรปริญญาตรี อินเตอร์ Business English Communication (โครงการ BEC) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ ก็คือ เข้ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นแล้วครั้งหนึ่งแต่ลาออก เลยยังไม่จบปริญญาตรี พอย้ายมาเรียนที่นี่จริงๆ Transfer (เทียบโอน หน่วยกิต) ได้ แต่ที่โน่นไม่ใช่ภาษาอังกฤษก็เลยคิดว่าลงเรียนใหม่เลยดีกว่า แล้วตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยน้ำท่วมอยู่ ก็เลยไม่มีอะไรทำ (หัวเราะ) ส่วนภาษาไทย เมื่อก่อนพูดได้แค่ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ฮิโรโกะค่ะ แต่พอมาเมืองไทยครั้งแรกได้ไปเรียนที่เชียงใหม่ เป็นคอร์สภาษาไทยหลักสูตร 20-30 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็อ่านหนังสือเอง ดูทีวีรายการภาษาไทย และพยายามพูดไทยกับคนไทยให้ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


ฟังดูร่าเริงตลอดเวลา มาเที่ยวเมืองไทยสนุกไหม


 สนุกค่ะ อยู่เมืองไทยทำให้ชีวิตเราร่าเริงมาก มันเป็นชีวิตจริงๆ ที่ต้องการ ถ้าอยู่ญี่ปุ่น ชีวิตเราต้องเสียเวลาให้อย่างอื่น ต้องเสียสละให้บริษัท เสียสละให้อะไรต่อมิอะไรมากมายจนไม่มีอิสระเลย ไม่มีเวลาให้ตัวเองและชีวิตเครียดมาก ในมุมมองส่วนตัวมองว่าการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนญี่ปุ่นต่างกันเยอะค่ะ คนญี่ปุ่นจะเครียด ต้องตรงเวลา ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ ต้องมีระเบียบมากๆ กับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนไทยจะสบายๆ ไม่เครียดมาก อย่างน้ำท่วมคราวนี้ ทุกคนก็ลงลุยน้ำไปไหนมาไหนได้ ซึ่งทุกคนก็โอเค หลายๆ คนก็ยังยิ้มได้ หัวเราะได้ แต่คนญี่ปุ่นไม่ได้เลยนะ จะร้องไห้ใหญ่เลย เครียดมาก อย่างตอนที่เจอสึนามิ  ทุกคนก็เครียดกันมาก


แล้วทำไมถึงได้มาทำงานอาสาช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในครั้งนี้


 คือช่วงนี้อยู่ว่างๆ เพราะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่รังสิตก็ท่วมเหมือนกัน ตอนนั้นน้ำยังไม่ท่วมศูนย์พักพิงนะคะแต่นักศึกษาเดินทางไปเรียนลำบากก็หยุดไป และตอนนั้นคุณพ่อก็ไม่สบายด้วย เราก็เลยบินกลับญี่ปุ่นไปเยี่ยมคุณพ่อ พอกลับมาก็หยุดอีก 1 อาทิตย์ ก็กลับไปดูอาการคุณพ่ออีกรอบ พอกลับมาอีกรอบที่ 3 เขาประกาศอีกว่าหยุด 1 เดือน คราวนี้ไม่ได้กลับญี่ปุ่น พอดีว่าเห็นผู้หญิงยืนแบกพลั่วในเน็ต ที่เขาบรรจุกระสอบทรายเห็นแล้วเท่มากๆ เราอยากทำบ้างก็เลยหาข้อมูล เห็นว่าอยู่ที่สุวรรณภูมิ วันรุ่งขึ้นก็ไปเลย ก็เจออาสาสมัครด้วยกัน พอเราไปทุกวันๆ ก็เริ่มสนิทกัน ไป 10 วันก็ได้เพื่อนใหม่ด้วยค่ะ


เห็นว่าลงพื้นที่ทำงานอาสามาตลอด ทำไมถึงชอบงานอาสาสมัคร


 ชอบทำงานอาสาอยู่แล้ว จริงๆ แล้วเราไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่อยากช่วย ถ้าฮิโรโกะสามารถจะช่วยอะไรได้สักนิดหนึ่งก็ออกไปช่วยดีกว่า ถ้าเราไปก็อาจจะได้เพื่อน ได้ฝึกภาษาไทยได้มากกว่านี้ เพราะถ้าอยู่บ้านเฉยๆ ดูทีวี มันก็ได้แค่ฟัง รับรู้ข้อมูล มันเบื่อด้วย แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คือมันไม่ Improve ตัวเองค่ะ แต่ถ้าออกมาเจอผู้คนเราได้ฝึกพูดคุยกับคนอื่น ได้พัฒนาภาษาของตัวเอง ไปกรอกทรายก็ได้ออกกำลังกายด้วย ได้เพื่อนด้วย คือมองว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วเราเองก็สนุกด้วย ไม่ได้คิดว่าไปเพราะจิตอาสาอยากช่วยคนอื่นอย่างเดียว แต่ตัวเราเองก็ได้รับอะไรดีๆ ตอบแทนจากการลงมือทำงานอาสาด้วยค่ะ


ฟังดูเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ชอบหากิจกรรมทำอย่างนั้นใช่หรือเปล่า


 ใช่ๆ (หัวเราะ) ชอบออกไปทำอาสา หรือหากิจกรรมทำ เวลาไปอาสาก็อยู่ 4-5 ชั่วโมงในแต่ละวัน ส่วนตัวก็อยากทำงานอาสาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ที่ไหนมีปัญหาเดือดร้อน อยากได้อาสาสมัครก็อยากเข้าไปช่วย อย่างตอนที่ญี่ปุ่นโดนสึนามิ พอดีที่ไทยเองก็จัดงานวิ่งมาราธอนที่เอ็มโพเรี่ยม เพื่อช่วยชาวญี่ปุ่น เราก็ไปวิ่งด้วยและเป็น Information ที่นั่น ถ้ามีคนมาสอบถามอะไร เราก็คุยให้ เพราะเราพูดอังกฤษได้ ญี่ปุ่นก็ได้ ไทยก็ได้ ถ้ามีอะไรพอทำได้ก็ทำให้ แบบไม่ต้องได้เงินก็ได้ แต่เหมือนมันทำให้ชีวิตเรามีอะไรสักอย่าง ไม่ค่อยชอบช่วงว่างๆ ค่ะ (หัวเราะ)


เป็นคนมองโลกในแง่ดีมากๆ


 จริงๆ เมื่อก่อนฮิโรโกะไม่ได้เป็นคน Positive ขนาดนี้นะ เมื่อก่อนอยู่ที่ญี่ปุ่นจะเครียดมาก ผมร่วง แต่พอมาอยู่เมืองไทย ได้เรียนรู้นิสัยคนไทยก็เริ่มดีขึ้น ตอนแรกก็มี Culture shock นิดหนึ่ง เพราะวัฒนธรรมต่างกัน ยังปรับตัวไม่ได้ แต่ตอนนี้โอเค อยู่เมืองไทยสบายกว่าเยอะ มุมมองแบบไม่เครียด สบายๆ คนญี่ปุ่นบางคนอาจมองว่าสบายเกินไป แต่มันเฉพาะบุคคลมากกว่า เราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดสำหรับตัวเรามันก็โอเคแล้วนะ ไม่ต้องตามเขาทุกอย่างหรอก สุดท้ายก็อยู่ที่เราว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนให้มันพอดีกับตัวเองมากที่สุด


ตอนนี้อยู่เมืองไทยมีความสุขไหม ทำไมถึงรักเมืองไทยขนาดนี้


 มีความสุขมากค่ะ (ลากเสียงยาว) เพราะคนไทยสนิทกัน เมื่อก่อนที่เครียดก็เพราะว่า พ่อเราดุมาก ครอบครัวที่โน่นไม่สนิทกัน แยกกันอยู่ ส่วนคนไทยถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็สนิทกัน โทรศัพท์คุยกันบ่อยมาก อย่างเรามาอยู่ที่นี่มีคนรู้จัก ถึงไม่ได้เป็นคนในครอบครัวแต่เขาจะคอยโทรศัพท์หาเราตลอด เป็นห่วงตลอดเลย ไม่เหงาเลยค่ะ แต่อยู่ที่ญี่ปุ่น ขนาดอยู่บ้านหลังเดียวกันเป็นครอบครัว ก็ยังเหงา อยู่ที่นี่มีความสุขดีค่ะ


 ถามว่าทำไมถึงรักเมืองไทย ก็เพราะอยู่เมืองไทย ทำให้ชีวิตฮิโรโกะ Colourful มากๆ และ ชีวิตมันเปลี่ยน แบบ Active มากขึ้น กว้างมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เพราะทำได้หลายๆ อย่าง ถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่นก็ทำงานอย่างเดียวก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น



 

 

 

credit : https://www.facebook.com/HirokoThailand

            http://www.bangkokbiznews.com

    

 

คหสต.จขกท.==> ฮิโรโกะ น่ารักมากค่ะ

 

 

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ao's profile


โพสท์โดย: ao
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
12 VOTES (4/5 จาก 3 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เขมรเตรียมฉาย หนังบางระจันเวอร์ชั่นเขมร อ้างหมู่บ้านบางระจันมีที่มาจากกัมพูชา!คู่รักชาวจีนขโมยสร้อยข้อมือ จากร้านในไทย ก่อนชิ่งบินหนีกลับจีนสลอธ เคลื่อนที่ช้ามาก แต่ทำไมถึงไม่สูญพันธุ์?หนุ่มเขมรเอวพริ้ว โชว์สเต็ปแดนซ์ K POP ที่งานมินิคอนเสิร์ตญี่ปุ่น!โควิด-19 อีกแล้ว!!!เกิดเหตุกำแพงปูนล้มทับคนดับหลายราย"โรคกลาก" และ "โรคเกลื้อน" เราดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้นนักมวยเตะก้นสาวชูป้าย เลยโดนคนดูรุมกระทืบแฟนๆ กรี๊ด หนุ่มคนใหม่ของสาว "เบลล่า"..ไม่ธรรมดา ทั้งหล่อและรวย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อวัยวะร่างกายกลัวอะไรเขมรเตรียมฉาย หนังบางระจันเวอร์ชั่นเขมร อ้างหมู่บ้านบางระจันมีที่มาจากกัมพูชา!eject: ขับไล่ ไล่ออก เสือกไสไล่ส่งเกิดเหตุกำแพงปูนล้มทับคนดับหลายรายโควิดในรพ.
ตั้งกระทู้ใหม่