100 ปี ลูกเสือไทย
เรียนวิชาลูกเสือแล้วได้อะไร
ลูกเสือไทยกำเนิดขึ้นมาแล้ว 99 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรีได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2454 นับเป็นประเทศที่ 3 ของโลก
หลายคนเคยสงสัยหรือมีข้อกังขาเกี่ยวกับวิชาเรียนที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับของประเทศไทย ที่เรียกวิชานั้นว่า ‘ลูกเสือ’ โดยบางคนเริ่มเรียนวิชาลูกเสือตั้งแต่ชั้นป.1 – ม.3 นับระยะเวลาได้ก็ร่วม 9 ปี หากถามว่า 9 ปีที่ผ่านพ้น การเรียนวิชาลูกเสือแล้วสร้างอะไรให้กับผู้เรียนได้บ้าง ให้ลองนึกกันเล่นๆ อาจจะไม่ใช่วิชาที่สลักสำคัญมากนัก เพราะไม่มีเกรดแต่หากไม่เรียนก็ไม่สามารถจบได้
บางคนอาจจะจำภาพที่ต้องมานั่งแต่งเครื่องแบบลูกเสือ ที่ดูพะรุงพะรัง มีผ้าพันคอ หมวก เข็มขัด ฯลฯ รวมถึงเครื่องหมายต่างๆ ที่ต้องติดโชว์ในเครื่องแบบ ถ้าหากวันไหนแต่งตัวพลาดไปอาจจะถูกลงโทษในวิชาเรียนก็เป็นไปได้
บางคนอาจจะจำการผูกเงื่อนพิรอด เงื่อนขัดสมาธิ เงื่อนบ่วงสายธนู เงื่อนตะกรุดเบ็ด เงื่อนกากบาท กิจกรรมรอบกองไฟในยาม ‘เข้าค่าย’ การเดินทางไกล การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ได้ร้องเพลง ฝึกการแสดง
ทำไมเด็กไทยต้องเรียนลูกเสือ?
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมจึงต้องเรียนวิชาลูกเสือ และวิชานี้มีความสำคัญมากมายขนาดไหน จึงต้องถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
สมมาต สังขพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาลูกเสือและบุคลากร สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ บอกเล่าถึงหัวใจสำคัญของการเรียนลูกเสือ ก่อนจะไขข้อสงสัยที่เด็กรุ่นใหม่ๆ อาจดูแคลนการเรียนลูกเสือ ทำนองว่า ‘จะเรียนไปทำไม เรียนแล้วได้อะไร เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต’ ทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่าในยุคที่ค่านิยมของผู้คนเปลี่ยนไป หลักสูตรลูกเสือมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงบ้าง
“ย้อนไปหลายสิบปีก่อนหน้านี้ การเรียนลูกเสือจะมีหลักสูตรการสอนที่ทำให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จริง มีทั้งการสอนปีนต้นไม้ การใช้กิ่งไม้จุดไฟเมื่ออยู่ในป่า การทำกับข้าว มีการตั้งแคมป์ เข้าค่าย เดินป่า แล้วก็มีการกำหนดให้ลูกเสือสามัญทำหน้าที่เป็นลูกเสือจราจร ให้ความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้แก่คนใช้รถใช้ถนน แล้วก็มีการบำเพ็ญประโยชน์อื่นๆ อีก เช่น ในอดีต หลายๆ โรงเรียนในกรุงเทพฯ ก็จะให้ลูกเสือ เนตรนารี ไปบำเพ็ญประโยชน์ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง คอยช่วยเหลือคนเฒ่าคนแก่ คอยช่วยขนสัมภาระ ขนข้าวขนของขึ้นรถไฟ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้คนที่มาใช้บริการ”
น้อยนิดมหาศาลกับการเป็น ‘ลูกเสือ’
ในบ้านเราวิชาลูกเสือเมื่อก่อนเคยเป็นอย่างไร ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ขณะที่ลูกเสือในประเทศอื่น ต่างก้าวล้ำในความเป็นลูกเสือและให้ความสำคัญกับมัน โดยเฉพาะการปรับตัวของเด็กๆ และหลักสูตรที่จะนำลูกเสือไปสู่ความร่วมสมัยของสังคมและเทคโนโลยีของเด็กๆ ที่ก้าวไกลไปมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เกมออนไลน์ ที่เกี่ยวพันกับบรรดาเด็กๆ ที่เรียนลูกเสือโดยตรง
แม้แต่ในโลกภาพยนตร์ยังดึงเอาความเป็นลูกเสือ มาใช้ในการดำเนินเรื่องเพื่อให้เกิดเรื่องราว เช่น ‘อัพ ปู่ซ่าบ้าพลัง’ (UP) ที่ตัวละครเด็กรูปร่างอ้วนกลมนามว่า ‘รัสเซล’ ซึ่งเป็นลูกเสือวัย 9 ขวบ ต้องใช้ความพยายามในการที่จะได้ตราสัญลักษณ์ที่ให้ความช่วยเหลือคนชรา จึงจะทำให้เขากลายเป็นลูกเสือที่ครบสมบูรณ์แบบและได้ขึ้นรับตราสัญลักษณ์ครบตามกำหนด และความพยายามของลูกเสือ นักผจญภัยคนนี้ก็เกิดเป็นเรื่องราวให้น่าติดตามในภาพยนตร์เรื่อง ‘อัพ’
ปกติแล้วเหล่าลูกเสือทั่วโลก ที่สามารถก่อตั้งเต็นท์ได้, ผูกเงื่อนได้ และเดินทางไกลประสบความสำเร็จจะมีตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสำเร็จดังกล่าวติดประทับอยู่บริเวณแขนเสื้อ ลูกเสืออเมริกาก้าวล้ำกว่าชาติไหนๆ เพราะจะเพิ่มอีกหนึ่งความสำเร็จเข้าไป เป็นความสามารถในด้าน ‘วิดีโอเกม’ ลูกเสืออเมริกาคนไหนที่ต้องการจะได้ที่ล็อกเข็มขัด หรืออาร์มตราเชิดชูเกียรติความสามารถด้านวิดีโอเกม จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบการจัดเรตติ้งเกม สามารถแบ่งเวลาในการเล่นเกมกับการทำประโยชน์ในชีวิตด้านอื่นๆ ได้ นอกจากนั้นยังต้องมีความเข้าใจในการเล่นเกมและสามารถอธิบายให้ความรู้กับผู้ปกครองได้
"มาถึงวันนี้ภาพดังกล่าวแทบไม่มีให้เห็นแล้ว หลายโรงเรียนละเลยกับการเรียนการสอนวิชาลูกเสือ ด้วยเหตุผลที่ต่างมุ่งเน้นให้เด็กนักเรียนเรียนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ติด ครั้นพอมาถึงชั่วโมงวิชาเรียนลูกเสือ แทนที่จะให้เด็กได้ฝึกฝนการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ได้ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ก็กลับเอาเวลาไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุผลนี้เด็กจำนวนไม่น้อยจึงเห็นว่าการเรียนลูกเสือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรในชีวิต ซึ่งแตกต่างกันในต่างประเทศโดยสิ้นเชิง"
ที่มา : http://www.kamolonline.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=539117795&Ntype=10