หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ฟ้อนเล็บเอกลักษณ์ของ "คนเมือง"

โพสท์โดย lamur_kung

ฟ้อนเล็บ

ฟ้อนเล็บ แต่เดิมเรียก “ฟ้อนเล็บ” ด้วยเห็นว่าเป็นการฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของ “คนเมือง” ซึ่งหมายถึงคนในถิ่นล้านนาที่มีเชื้อสายไทยวน และเนื่องจากการเป็นการแสดงที่มักปรากฏ ในขบวนแห่ครัวทานของวัดจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟ้อนแห่ครัวทาน” ต่อมามีการสวมเล็บที่ทำด้วยทองเหลืองทั้ง 8 นิ้ว (ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ) จึงได้ชื่อว่า “ฟ้อนเล็บ

ท่าฟ้อน

การฟ้อนชนิดนี้มีมาแต่ดั้งเดิม คณะศรัทธาของแต่ละวัดมักมีครูฝึกสืบทอดต่อกันมา เมื่อถึงฤดูกาลที่จะมีงานปอยหลวง ซึ่งเป็นงานฉลองศาสนสถาน มักมีการฝึกซ้อม เด็กสาวในหมู่บ้านเพื่อแสดงในงานดังกล่าวเสมอ โดยที่รูปแบบกระบวนและลีลาท่าฟ้อนไม่ได้กำหนดตายตัว แต่ละครูหรือแต่ละวัดอาจแตกต่างกันไป ในสมัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้มีการปรับปรุงและประดิษฐ์ท่าฟ้อนให้ดูอ่อนช้อยงดงามยิ่งขึ้น และบุคคล ผู้หนึ่งซึ่งเคยได้รับการถ่ายทอดจากคุ้มเจ้าหลวงได้แก่ ครูสัมพันธ์    โชตน

ในโอกาสที่ครูสัมพันธ์ได้เข้าไปถ่ายทอดศิลปะการฟ้อนชนิดนี้แก่วิทยาลัย นาฏศิลปเชียงใหม่ ท่านได้กำหนดท่าฟ้อนไว้ 17 ท่าดังนี้
1. จีบส่งหลัง                      2. กลางอัมพร                         3. บิดบัวบาน
4. จีบสูงส่งหลัง                   5. บัวชูฝัก                              6. สะบัดจีบ
7. กราย                            8. ผาลาเพียงไหล่                    9. สอดสร้อย
10. ยอดตอง                      11. กินนรรำ                         12. พรหมสี่หน้า
13. กระต่ายต้องแร้ว            14. หย่อนมือ                        15. จีบคู่งอแขน
16. ตากปีก                        17. วันทาบัวบาน
ท่ารำต่างๆ ดังกล่าว อาจมีการเพิ่มท่า ตัดตอน หรือลำดับท่าก่อนหลังตามที่ครูจะกำหนด

เครื่องแต่งกาย

การแต่งกายแต่เดิมจะนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกคอกลม หรือคอจีนผ่าอก เกล้าผมมวยโดยขมวดมวยด้านท้ายทอย ทัดดอกไม้ประเภทดอกเอื้อง จำปา กระดังงา หางหงส์ หรือลีลาวดี สวมเล็บทั้งแปดนิ้ว ต่อมามีการ ดัดแปลงให้สวยงามโดยประดับลูกไม้ หรือระบายที่คอเสื้อ ห่มสไบเฉียงจากบ่าซ้ายไปเอวขวาทับด้วยสังวาล ติดเข็มกลัด  สวมกำไลข้อมือ กำไลเท้า เกล้าผมแบบญี่ปุ่น ทัดดอกไม้หรืออาจเพิ่มอุบะห้อยเพื่อความสวยงาม

เครื่องดนตรี 
เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบจังหวะในการฟ้อน จะใช้วงกลอง “ตึ่งโนง” ซึ่งประกอบด้วย
1. กลองแอว                              2. กลองตะหลดปด
3. ฆ้องอุ้ย(ขนาดใหญ่)                 4. ฆ้องโหย้ง(ขนาดกลาง)
5. ฉาบใหญ่                               6. แนหน้อย
7. แนหลวง

เพลงที่ใช้บรรเลง

สำหรับเพลงที่ใช้บรรเลง ก็แล้วแต่ผู้เป่าแนจะกำหนดอาจใช้เพลงแหย่ง เพลงเชียงแสน เพลงหริภุญชัยหรือลาวเสี่ยงเทียน แต่ส่วนใหญ่จะใช้เพลงแหย่งเพราะช่างฟ้อนคุ้นกับเพลงนี้มากกว่าเพลงอื่น

โอกาสที่แสดง

เดิมจะฟ้อนในงานฉลองสมโภช เพื่อนำขบวนทานหรือเป็นมหรสพในงาน ปัจจุบันมีการแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม จึงมีปรากฏให้เห็นตามโรงแรม ห้องอาหารโดยทั่วไป

อนึ่งการฟ้อนในลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าถอดเล็บออกและขณะที่ฟ้อนก็ถือเทียนไปด้วย เรียกว่า “ฟ้อนเทียน” การฟ้อนโดยลักษณาการนี้มีความเป็นมาว่าในสมัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีการแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินฯ เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2469 ในงานถวายพระกระยาหารค่ำ ณ พลับพลาที่ประทับ งานนี้พระราชชายาฯ ทรงให้ช่างฟ้อนเล็บถอดเล็บทองเหลืองออก แล้วให้ถือเทียนทั้งสองมือ เวลาออกไปฟ้อนก็จุดเทียนให้สว่าง การฟ้อนครั้งนั้นสวยงามเป็นที่ประทับใจ จึงเป็นต้นเหตุว่า หากมีการฟ้อนชนิดนี้ถ้าเป็นเวลากลางวันให้สวมเล็บแต่ถ้าเป็นกลางคืนให้ถือเทียน และการที่ฟ้อนเทียนนี่เองเป็นเหตุให้ใช้เพลง “ลาวเสี่ยงเทียน” ประกอบการฟ้อน

ความเป็นเอกลักษณ์

หากจะถามถึงความเป็นเอกลักษณ์ของฟ้อนเล็บแล้ว ถ้าจะตอบว่าคือท่าฟ้อน และการแต่งกายยังตอบไม่ได้ เต็มคำเพราะถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ค่อนข้างมาก หรือตอบว่าอยู่ที่เล็บก็ยังไม่ใช่เพราะการรำมโนราห์ ของภาคใต้ก็สวมเล็บ การฟ้อนผู้ไทของจังหวัดสกลนครก็สวมเล็บเช่นกัน แม้จะมีพู่ไหมพรมสีแดงตรงปลายเล็บก็ตาม และคำตอบที่น่าจะใกล้เคียงได้แก่ เครื่องดนตรีและเพลงประกอบการฟ้อน และที่น่าจะถูกต้องมากที่สุด เห็นจะได้แก่ ภาพรวมทั้งหมด เพราะใครพบเห็นฟ้อนชนิดนี้ที่ไหน ก็ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นฟ้อนเล็บ ซึ่งเป็นการแสดงที่อ่อนช้อยงดงาม ตามแบบฉบับของคนเมืองชาวล้านนาโดยแท้

การฟ้อนครั้งสำคัญก็เมื่อคราวพระราชชายา เจ้าดารารัศมี  ได้ทรงฝึกหัดเจ้านายและหญิงสาวฝ่ายในฟ้อนถวายรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7  คราวเสด็จประภาสภาคเหนือ  เมื่อ พ.ศ. 2469  โดยครูนาศิลป์ของกรมศิลปากรได้ฝึกหัดจำไว้ ภายหายหลังจึงได้นำสอนและมีการฝึกหัดสืบต่อมา
เช่นเป็นการฟ้อนรำชนิดหนึ่งของไทยชาวเหนือ ตามลักษณะของผู้ฟ้อน ซึ่งแต่งตัวแบบไทยชาวเหนือ แล้วสวมเล็บยาวทุกคน  โดยผู้ฟ้อนสวมเล็บยาวทุกนิ้วเว้นนิ้วหัวแม่มือ แบบฉบับการฟ้อนที่ดีได้รักษากันไว้เป็นแบบแผนกันในคุ้มเจ้าหลวง  จึงเป็นศิลปะที่ไม่สู้จะได้ชมกันบ่อยนัก  การฟ้อนชนิดนี้ได้มาเป็น ที่รู้จักแพร่หลายในกรุงเทพฯ คราวงานสมโภชน์พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯช้างเผือกในรัชกาลที่  7  เมื่อ พ.ศ. 2470

                  ต่อมาการฟ้อนแบบนี้ก็ซบเซาไปพักหนึ่ง ไม่ค่อยจะได้ดูกันบ่อยนัก มีอยู่บ้างที่หัดฟ้อนกันขึ้นเป็นครั้งคราว แต่การฟ้อนและลีลาต่าง ๆ  ไม่ได้มีหลักเกณฑ์อะไรที่แน่นอน ทั้งนี้แล้วแต่ครูผู้ฝึกจะดำเนินการสอนแบบไหน ทั้งท่าทางและจังหวะการฟ้อน ฉะนั้นการฟ้อนในระยะนี้จึงแหตกต่างกันอออกไป ในปี พ.ศ. 2474 เจ้าหญิงบัวทิพย์ ณ เชียงใหม่ ธิดาของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ท่านเป็นผู้รักศิลปะทางนี้มาก จึงได้รวบรวมเด็กหญิงในคุ้มให้ครูหลวงเป็นผู้ฝึกหัดในแบบต่าง ๆ ทั้งนี้  เจ้าแก้วนวรัฐ ก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี จึงประทานให้หม่อมแส ซึ่งเป็นหม่อมของท่านและมีความรู้เชี่ยวชาญในศิลปะการฟ้อน เป็นผู้ควบคุมการฝึกหัด ในระยะนี้ต้องใช้เวลาทั้งปรับปรุงท่าทาง เครื่องแต่งกายและดนตรี เพื่อความเหมาะสมเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแบบอย่างที่เชื่อถือได้ ในระหว่างการฝึกอบรมนี้ ก็ได้มีการจัดการแสดงต้อนรับแขกเมือง และให้ประชาชนชมอยู่เสมอ  เมื่อเจ้าแก้วนวรัฐได้พิราลัย   (ตาย) ไป แล้ว การฟ้อนรำเหล่านี้จึงชะงักไป แต่ก็มีอยู่บ้างตามโรงเรียนต่าง ๆ และวัดแทบทุกวัด
                     ต่อมาประมาณปี    พ.ศ. 2503  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จประภาสจังหวัดเชียงใหม่   บรรดา ครู   นักศึกษา ตลอดจนวัดต่าง ๆ ได้พากันฟื้นฟูการฟ้อนขึ้นอีกเพื่อเป็นการรับเสด็จฯ และต้อนรับพระราชอาคันตุกะที่มาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้รับความสนพระทัยและสนใจจากพระราชอาคันตุกะเป็นอันมาก      ปัจจุบันการฟ้อนชนิดนี้มีอยู่ตามวัดต่าง ๆ และในหมู่นักเรียน นักศึกษา  เพราะถือว่าเป็นวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นที่ต้องสงวนและรักษาไว้  แต่ลีลาการฟ้อนเป็นไปตามครูผู้สอนไม่ได้ยึดถืออะไรเป็นหลักที่แน่นอน
                     ผู้แสดง  แต่ละชุดของแต่ละหมู่บ้าน  จะใช้จำนวนคนแตกต่างกันไปบ้าง  แต่ที่นิยมกันมากคือ  จำนวน 4 คู่ หรือ 8 คน และจะไม่เกิน 16 คน แต่ก็ไม่ได้ห้ามว่าเกิน  16 คน ไม่ได้ ข้อสำคัญต้องเป็นจำนวนคู่


 ช่างฟ้อนรำถวายในพิธีทูลพระขวัญรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่สนามโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เมื่อพ.ศ. 2501






แหล่งข้อมูล

http://www.ketalanna.com/lanna-dance/lanna-dance[fonleb].html

http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=34afc800bf272799

http://www.openbase.in.th/node/6713

http://library.cmu.ac.th/ntic/picturelanna/picture_trails.php

www.google.com

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
lamur_kung's profile


โพสท์โดย: lamur_kung
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
44 VOTES (4/5 จาก 11 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่งไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลกกัมพูชา ส่งจดหมายถึงทั่วโลก ลั่นไม่ได้อ่อนแอ แต่ถูกไทยบีบให้จนมุมชายฝรั่งบุกสำรวจสวนสัตว์ร้างในภูเก็ต ก่อนจะตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาโยนของลงไปในบ่อน้ำ10 สิ่งต้องห้ามในรถยนต์ ที่อาจทำเงินรั่วและดึงดูดอุบัติเหตุ สายมูต้องห้ามพลาด"เจมส์ คาเมรอน" อธิบายอีกครั้งว่า "ทำไมแจ็คถึงต้องตๅย?"เขมรไม่มีคิดหยุด แต่คิดว่าจะรบไทยให้ชนะด้วย F-35 ได้อย่างไรในอนาคตสอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกรายเขมรเรียกร้องให้ไทยหยุดโกหกเพื่อปกปิดการรุกรานยายทวดวัย 100 ปี เปลี่ยนมาเป็นฟู้ดบล็อกเกอร์ กินอาหารหลากหลาย เช่น ชานมและหม่าล่า พร้อมเผยเคล็ดลับการมีอายุยืนที่ทุกคนทำได้
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพของลัทธิการปรับปรุงพันธุ์มนุษย์😃 ชวนลองเข้ามาดูภาพถ่ายสะเทือนใจของเหล่าผู้คนที่ดูจะดราม่ายิ่งกว่าซีรีส์ทีวีเลยล่ะ 😅เคลียร์ชัด! ร้านแจงดราม่าสุนัขนั่งร่วมโต๊ะบุฟเฟต์เชื่อหรือไม่ ชายไทยกลัวเมียมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีเขมรเรียกร้องให้ไทยหยุดโกหกเพื่อปกปิดการรุกรานAPC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
ตั้งกระทู้ใหม่