หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

"ภาษีบาปกับการสร้างชาติ" เรื่องเล่าการพนันในสังคมสยาม (พ.ศ. 2352 - 2468)

โพสท์โดย Thai Weapon Channel

"ภาษีบาปกับการสร้างชาติ" เรื่องเล่าการพนันในสังคมสยาม (พ.ศ. 2352 - 2468)

จุดเริ่มต้นจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ

ในหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของสยาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าชาวจีนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนและสร้างความเปลี่ยนแปลงมาช้านาน และหนึ่งในกลไกที่พวกเขานำมาใช้ก็คือ "บ่อนพนัน" ซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างซับซ้อนและยาวนาน

จุดเริ่มต้นของการพนันที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ในยุคสมัยนั้น เศรษฐกิจของสยามยังคงบอบช้ำและเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากภาวะสงครามกับเพื่อนบ้าน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องพึ่งพารายได้จาก "บ่อนเบี้ย" ที่มีเจ้าสัวนายทุนชาวจีนเป็นผู้ประมูลเพื่อนำเงินส่งคลัง นับเป็นการใช้การพนันเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อความอยู่รอดของรัฐในยามยาก

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงแหล่งรายได้จำเป็น การพนันได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นระบบภาษีอากรที่เป็นทางการของรัฐ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของสยามไปอย่างสิ้นเชิง

กำเนิด "ภาษีบาป": เมื่อการพนันกลายเป็นนโยบายรัฐในสมัยรัชกาลที่ 3

ในสมัยรัชกาลที่ 3 นี่เอง ที่แนวคิดเรื่อง "ภาษีบาป" ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อรัฐได้เริ่มจัดเก็บภาษีอากรจากการพนันและหวยอย่างเป็นทางการ รัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของการพนันในฐานะเครื่องมือทางการคลังมหภาค (macro-fiscal tool) และได้วางนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน 2 ประการ คือ:

• ดึงเงินสดออกจากประชาชน: ในยุคที่เศรษฐกิจเงินตราเพิ่งเริ่มต้น การส่งเสริมให้คนใช้จ่ายเงินในบ่อนถือเป็นนโยบายทางอ้อมเพื่อกระตุ้นให้เงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

• สกัดเงินแรงงานจีน: เป้าหมายหลักคือการป้องกันไม่ให้แรงงานชาวจีนที่เข้ามาทำงานในสยามจำนวนมากส่งเงินกลับประเทศของตน แต่ให้นำเงินนั้นมาใช้จ่ายและหมุนเวียนอยู่ภายในราชอาณาจักรสยามแทน

นโยบายนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยในขณะนั้นรัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรจากบ่อนเบี้ยได้สูงถึง 400,000 บาทต่อปี

นโยบายที่เริ่มต้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในสมัยรัชกาลที่ 3 กำลังจะกลายเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนการคลังของรัฐสยามอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรัชสมัยถัดมา

ยุคทองของบ่อนเบี้ย: แหล่งรายได้หลักค้ำจุนรัฐสยาม

ในสมัยรัชกาลที่ 4 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 รายได้จาก "ภาษีการพนัน" ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของรัฐสยาม ความสำคัญนี้สะท้อนให้เห็นผ่านตัวเลขรายได้ในแต่ละยุคสมัยดังนี้

รัชสมัย

รายได้ต่อปี/ข้อเท็จจริงสำคัญ

รัชกาลที่ 4

จัดเก็บภาษีได้สูงถึง 500,000 บาท ต่อปี

รัชกาลที่ 5

รายได้จาก บ่อน หวย ฝิ่น และสุรา รวมกันคิดเป็น ครึ่งหนึ่งของรายได้รัฐทั้งหมด

อาจกล่าวได้ว่าเงินที่ได้จาก "ภาษีบาป" เหล่านี้ คือแหล่งรายรับที่มั่นคงที่สุดที่ค้ำจุนสถานะทางการคลังของรัฐสยามในยุคแห่งการปฏิรูปประเทศ

แต่นอกเหนือจากการเป็นแหล่งเงินทุนให้รัฐแล้ว บ่อนการพนันยังมีบทบาทที่น่าสนใจต่อชีวิตประจำวันของผู้คนและโครงสร้างของสังคมเมืองอีกด้วย

บ่อนเบี้ยกับชีวิตผู้คน: ศูนย์กลางเศรษฐกิจและชุมชนของสามัญชน

บ่อนเบี้ยในอดีตไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เสี่ยงโชค แต่ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางสังคมและเศรษฐกิจของสามัญชนในหลากหลายมิติ

"ปี้": เงินตราแห่งบ่อนพนัน

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของการใช้เงินตรา ได้เกิดปัญหาเงินปลอมระบาดอย่างหนักจนประชาชนขาดความเชื่อมั่น แต่ "ปี้" ที่ออกโดยบ่อนพนันกลับได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูง ปี้เหล่านี้มีลักษณะคล้ายชิปในคาสิโนปัจจุบัน ทำจากวัสดุหลากหลาย เช่น แก้ว กระเบื้อง หรือโลหะ มีรูปทรงแตกต่างกันไป สิ่งที่ทำให้ปี้มีความน่าเชื่อถือคือ การประทับตราของบ่อน เพื่อรับรองมูลค่า ทำให้มันกลายเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนที่ผู้คนมั่นใจและใช้กันอย่างแพร่หลาย ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความจริงที่น่าสนใจว่า ในยุคสมัยนั้น "เงินตรานอกระบบ" ที่ค้ำประกันโดยนายบ่อนชาวจีน กลับได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าเงินตราที่ออกจากรัฐเสียอีก

เมื่อบ่อนสร้างเมือง

บ่อนพนันทำหน้าที่เสมือนพื้นที่สาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของชนชั้นล่างและกลุ่มแรงงานกุลี บ่อนจึงไม่ได้เป็นเพียงสถานบันเทิง แต่ได้กลายเป็นระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ (economic ecosystem) ที่สมบูรณ์ในตัวเองสำหรับสามัญชน เมื่อบ่อนไปตั้งอยู่ที่ใด ที่นั่นจะกลายเป็นชุมชนขนาดย่อมที่คึกคักและมีระบบเศรษฐกิจของตัวเองเกิดขึ้นตามมาทันที ประกอบด้วย:

• หาบเร่แผงลอยขายอาหาร

• โรงงิ้ว

• ซ่องโสเภณี

• โรงรับจำนำ

ความแพร่หลายของบ่อนสะท้อนได้จากสถิติใน พ.ศ. 2430 ที่ระบุว่าเฉพาะในกรุงเทพฯ มีบ่อนมากถึง 400 แห่ง และในจำนวนนี้เป็นบ่อนขนาดใหญ่ถึง 126 แห่ง

รถไฟสายเสี่ยงโชค

เทคโนโลยีใหม่อย่างรถไฟได้เข้ามามีบทบาทในการขยายตัวของการพนัน เมื่อเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมาสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2443 ประชาชนจากหัวเมืองก็นิยมเดินทางเข้ามาเล่นพนันในเมืองกรุงจนรัฐต้องจัดเที่ยวรถไฟเสริมเพื่อรองรับโดยเฉพาะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 การส่งโพยหวยก็ทำได้ง่ายขึ้นผ่านเสมียนชาวจีนที่ประจำอยู่ตามชุมทางรถไฟ ทำให้การเสี่ยงโชคขยายตัวไปทั่วทุกภูมิภาค

แม้การพนันจะสร้างรายได้และเป็นศูนย์กลางของชุมชน แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ได้สร้างความกังวลพระราชหฤทัยให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เช่นกัน

เสียงสะท้อนจากราชสำนัก: ความกังวลต่อ "แดนสวรรค์ของอบายมุข"

พระมหากษัตริย์สยามทรงตระหนักถึงผลกระทบของการพนันที่มีต่อราษฎรเป็นอย่างดี ดังปรากฏในพระราชดำรัสและพระราชหัตถเลขาหลายฉบับ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ซึ่งทรงคุ้นเคยกับวิถีชีวิตชาวบ้านเป็นอย่างดีตั้งแต่ครั้งทรงผนวช ได้ทรงเปรียบเทียบเมืองไทยในเชิงเหน็บแนมไว้ในพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งว่า

“เมืองไทยของเราก็เป็นสวรรค์อยู่แล้ว เพราะมีน้ำทิพย์คือ เหล้ากิน เพราะมีอาหารทิพย์คือฝิ่นสูบ สบายดี และมีต้น- กัลปพฤกษ์ คือบ่อนโป”

ขณะที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ก็ทรงแสดงความห่วงใยพสกนิกรอย่างชัดเจนใน "ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยและเลิกหวย" ความตอนหนึ่งว่า

“การเล่นถั่วโปนั้น เป็นวิชาพนันของจีน พวกจีนพากัน เข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพ ทำมาหากินอยู่ในกรุงสยาม ได้ความผาสุก หากินอยู่ตามภูมิลำเนา แล้วพากันก่อการเล่น โปถั่ว ซึ่งเป็นวิชาถนัดของตนขึ้น ชักชวนคนไทยให้หลงเล่น ไปด้วย ทำให้เป็นการเสียทรัพย์ เสียเวลา เสียประโยชน์การค้าขาย และทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งในอันหาประโยชน์มิได้”

พระราชวิจารณ์นี้ไม่เพียงแสดงความห่วงใยในพสกนิกร แต่ยังชี้ให้เห็นถึงมุมมองของราชสำนักที่มองว่าการพนันเป็นปัญหาที่นำเข้ามาโดยชาวจีน ซึ่งเป็นภัยต่อคุณลักษณะอันดีของชาวสยาม

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ รัฐสยามจึงพยายามลดจำนวนบ่อนเบี้ยลง โดยมีสาเหตุสำคัญคือ:

• ขัดต่อหลักศาสนาพุทธ ซึ่งไม่สนับสนุนการพนัน

• กระทบภาพลักษณ์ความศิวิไลซ์ ของประเทศในสายตาชาวตะวันตก

• เป็นบ่อเกิดของปัญหาอาชญากรรม เช่น การลักขโมยเพื่อนำเงินไปเล่นพนัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามควบคุมอย่างจริงจัง แต่รัฐเองก็ยังคงเล็งเห็นประโยชน์จากกลไกการเสี่ยงโชค และได้นำมันมาปรับใช้ในรูปแบบใหม่

จากบ่อนเอกชนสู่ล็อตเตอรี่ของรัฐ: วิวัฒนาการที่ไม่สิ้นสุด

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) แม้บ่อนเบี้ยจะถูกจำกัดขอบเขตลงอย่างมาก แต่รัฐกลับนำการเสี่ยงโชคในรูปแบบ "ล็อตเตอรี่" มาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการสาธารณะต่างๆ ของรัฐโดยตรง ตัวอย่างเช่น:

• กิจการเสือป่า

• การสร้างโรงพยาบาล

• การจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ให้กับรัฐ

นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐยังคงใช้การเสี่ยงโชคเป็นกลไกทางการคลัง เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากการให้เอกชนดำเนินการมาเป็นการบริหารจัดการโดยรัฐเอง

มรดกสองด้านของการพนันในสังคมไทย

ประวัติศาสตร์การพนันในสยามจึงเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างความจำเป็นทางการคลังของรัฐกับอุดมคติทางศีลธรรมของสังคม เรื่องเล่าของการพนันในสังคมสยามคือภาพสะท้อนมรดกสองด้านที่อยู่คู่ประวัติศาสตร์ไทยมาโดยตลอด ด้านหนึ่ง มันคือ "ภาษีบาป" ที่เป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนสถานะทางการคลังของรัฐ ตั้งแต่ยุคสร้างชาติหลังสงครามจนถึงยุคแห่งการปฏิรูปให้ทันสมัย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันคือบ่อเกิดของปัญหาสังคมและอาชญากรรมที่สร้างความกังวลพระราชหฤทัยให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เสมอมา

ไม่ว่าจะเป็นบ่อนเบี้ยในอดีตหรือล็อตเตอรี่ของรัฐในยุคต่อมา กิจกรรมการเสี่ยงโชคเหล่านี้ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย และยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกทางการคลังที่รัฐต้องพึ่งพา ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาสังคมที่รัฐต้องเข้าควบคุม กลายเป็นมรดกที่ย้อนแย้งและแยกไม่ออกจากประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสังคมไทยจวบจนปัจจุบัน

โพสท์โดย: กับข้าวกับปลา
อ้างอิงจาก: "Gambling, The State and Society in Thailand, c.1800-1945" โดย James A. Warren, หนังสือ: ตำนานเรื่องเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยในกรุงสยาม (เป็นส่วนหนึ่งของ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๗) เป็นเอกสารสำคัญชั้นต้นและงานเรียบเรียงทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับ กำเนิดและพัฒนาการ ของอากรหวยและอากรบ่อนเบี้ยในประเทศไทยตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งถึงการประกาศยกเลิกในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 งานนี้เป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ใช้ในการศึกษาการเปลี่ยนผ่านของระบบภาษีจาก "ภาษีบาป" ไปสู่การเงินการคลังสมัยใหม่ ซึ่งตรงกับช่วงเวลาและประเด็นที่คุณสนใจอย่างยิ่ง, หนังสือ: เบี้ย บาท กษาปณ์ แบงก์: ประวัติศาสตร์เงินตราไทย แม้จะไม่ใช่เรื่องการพนันโดยตรง แต่หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึง ปี้ (Pee) ซึ่งเป็นเครื่องหมายแทนเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนในบ่อนเบี้ย โดยถือเป็น "เงินตราเฉพาะกิจ" รูปแบบหนึ่งที่รัฐอนุญาตให้ใช้แทนเงินสดในการพนัน การศึกษาเรื่อง "ปี้" ทำให้เข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจและการเงินของบ่อนเบี้ยในฐานะกิจการสัมปทานของรัฐได้ชัดเจนขึ้น และเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำความเข้าใจรายได้
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Thai Weapon Channel's profile


โพสท์โดย: Thai Weapon Channel
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำรู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน"DJ Sakura Soh" กับบทบาทใหม่ในวงการ JAVทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจายจรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกันเผยสถิติเลขออกบ่อย ย้อนหลัง 20 ปี..งวดวันที่ 2 มกราคม 69เขมร ยอมมาโต๊ะเจรจาที่จันทบุรี หลังไทยดัดหลัง "ไม่ย้ายประเทศ"APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่งพุทธศิลป์แนวใหม่หรือวัตถุนิยม? กระแสวิจารณ์ "หัวใจพระพุทธเจ้า" ทรงอนาโตมีสื่อนอกเจาะลึกความสูญเสีย รายงานข่าวทหารกัมพูชาบาดเจ็บ 400 นายเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 13 นาย พื้นที่เขาพระวิหารรัฐบาลสั่งปิดข่าว
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"เสือดาวจีนเหนือ" กลับคืนสู่ปักกิ่งหลังหายไป 3 ทศวรรษ นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานที่น่าตื่นเต้น"กล้วยหอม" จากผลไม้พื้นบ้านสู่สินค้าเปลี่ยนโลกทำไมต้องเศร้าตอนพระอาทิตย์ตกดินวัฒนธรรมแท่งหินรูปกวาง (Deer Stones Culture) ในมองโกเลีย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
เปิดตำนานคุณลุงซานต้า: จากนักบุญใจบุญยุคโบราณ สู่ชายชุดแดงพุงพลุ้ยที่โคคา-โคล่าช่วยปั้น! 🎅🦌อันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัวทึ่งทั่วโลก :แม่น้ำสองสี "อารากวี" (Aragvi) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามน่าทึ่งในประเทศจอร์เจียทึ่งทั่วโลก : "โบโรบูดูร์" ศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตั้งกระทู้ใหม่