ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่อยากเป็น "ทหารเกณฑ์"? เจาะลึกรากความคิดจากประวัติศาสตร์
ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่อยากเป็น "ทหารเกณฑ์"? เจาะลึกรากความคิดจากประวัติศาสตร์
เมื่อพูดถึง "ทหาร" ในปัจจุบัน หลายคนอาจนึกถึงภาพของผู้เสียสละ ผู้ปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่หากย้อนเวลากลับไปในอดีต การถูกเรียกไปรับราชการทหารหรือที่เรียกกันว่า "การเกณฑ์ทหาร" กลับเป็นสิ่งที่ผู้คน โดยเฉพาะไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน พยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด อะไรคือสาเหตุที่ทำให้การเป็นทหารในยุคจารีตของไทยกลายเป็นภาระที่ไม่มีใครต้องการ? เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์นี้จะพาเราไปสำรวจรากความคิดและทัศนคติที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
จุดเริ่มต้น: โลกของ "ไพร่" และการ "สักเลก"
ในยุคจารีตของไทยก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 สังคมยังไม่มีระบบ "ทหารอาชีพ" ที่ชัดเจน การเกณฑ์ทหารคือการรวบรวมกำลังคนจากราษฎรสามัญที่เรียกว่า "ไพร่" เพื่อมาเป็นแรงงานรับใช้ราชการ ซึ่งรวมถึงการเป็นแรงงานในกองทัพด้วย สถานะของไพร่ในสมัยนั้นผูกพันอยู่กับระบบ “ศักดินาสวามิภักดิ์” โดยราชสำนักไม่ได้ควบคุมไพร่โดยตรง แต่จะควบคุมผ่านเจ้านายหรือขุนนางอีกทอดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองดูแล แลกกับการที่ไพร่ต้องมารับใช้แรงงานตามที่ถูกเรียกตัว
กระบวนการที่จะยืนยันว่าชายผู้นั้นต้องทำหน้าที่รับราชการคือการ "สักเลก" หรือ "เกณฑ์เลข" ซึ่งกำหนดให้ชายอายุระหว่าง 18-60 ปี ต้องไปขึ้นทะเบียนที่ กรมพระสุรัสวดี อันเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลการเกณฑ์ไพร่พล จากนั้นเจ้าพนักงานจะทำการสักที่ท้องแขนหรือหลังมือเพื่อระบุตัวตนและสังกัดกรมกองอย่างชัดเจน เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว ไพร่จะมีภาระหน้าที่ต้องเข้ารับราชการตามกำหนด เช่น ไพร่ที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองชั้นในจะถูกเรียกตัวเข้ามารับราชการที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 2 เดือนต่อปี อย่างไรก็ตาม การสักเลกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์จะกระทำอย่างเข้มงวดในเขตราชธานีและหัวเมืองชั้นในเท่านั้น ทำให้มีไพร่อีกจำนวนมากในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ถูกเกณฑ์มารับราชการ
แม้การรับราชการจะเป็นหน้าที่สำคัญ แต่สำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ ก็ยังมีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่าการใช้แรงงาน
ทางสองแพร่ง: จ่ายเงินเพื่ออิสรภาพ หรือ รับใช้แรงงาน?
นับตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ ราชสำนักได้เปิดช่องทางให้ไพร่สามารถ "ผ่อนผัน" การเกณฑ์แรงงานได้ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทหารเกณฑ์ในเวลาต่อมา
• ทางเลือกของผู้มีทรัพย์: ไพร่สามารถจ่ายเงินให้กับขุนนางในสังกัดของตน เพื่อแลกกับการไม่ต้องมารับราชการได้ ยกตัวอย่างในสมัยรัชกาลที่ 5 ไพร่หลวงต้องจ่ายเงินประมาณ 9-12 บาทต่อปี เพื่อแลกกับอิสรภาพนี้
• กลไกการแบ่งปันผลประโยชน์: เงินที่ไพร่จ่ายไม่ได้เข้ารัฐทั้งหมด แต่เป็นระบบที่เอื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าขุนมูลนายด้วย โดยเจ้ากรมจะเก็บเงินเหล่านี้ส่งให้กรมพระสุรัสวดี และมีการแบ่งส่วนหนึ่งให้กับเจ้ากรมและนายกองในฐานะผู้ควบคุมไพร่
• ผลกระทบที่สำคัญที่สุด: วิธีการนี้ได้แบ่งแยก "ไพร่" ออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน คือ กลุ่มที่จ่ายเงินได้ กับ กลุ่มที่จ่ายไม่ได้ ทำให้ผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปรับราชการกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีทางเลือกอื่นในชีวิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบอย่างเป็นระบบ
แล้วคนที่ไม่มีเงินจ่ายต้องเผชิญกับชะตากรรมและสายตาจากสังคมอย่างไร?
ภาพลักษณ์ที่ถูกตีตรา: เมื่อทหารเกณฑ์คือ "คนที่เลวทราม"
เมื่อระบบคัดกรองคนด้วยเงินตราถูกนำมาใช้ คนที่เหลืออยู่และต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารจึงถูกสังคมตีตราว่ามีสถานะที่ต่ำต้อยกว่าคนทั่วไป พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้สะท้อนภาพลักษณ์ของทหารเกณฑ์ในยุคนั้นไว้อย่างชัดเจนว่ามาจากคน 3 กลุ่มหลัก คือ
1. เป็น คนที่ไม่มีเงิน พอจะจ่ายค่าผ่อนผัน
2. เป็น คนที่ต้องโทษทัณฑ์ บางอย่าง
3. เป็น คนที่เลวทรามที่สุด ในท้องถิ่น หรือทำอะไรไม่เป็น
ภาพลักษณ์อันเลวร้ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงความคิดของคนทั่วไป แต่ยังปรากฏในมุมมองของชนชั้นนำด้วย ดังหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญสองชิ้นนี้
พระราชดำรัสในรัชกาลที่ 5
“…เพราะคนที่ส่งมาเป็นทหารนั้น เฉพาะแต่คนที่ไม่มีเงินเสียส่วนประการหนึ่ง คนที่เปนโทษบางอย่างประการหนึ่ง ฤๅผู้ที่เลวทรามที่สุดในพื้นเมืองนั้น คือจะทำอะไรไม่ได้เปนต้นก็มี…”
บันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
“คนในมณฑลอีสานซึ่งเลือกคัดส่งมารับราชการทหารอย่างทุกวันนี้ ตกอยู่ในชนชั้นเลวที่มีความผิดหรือไม่สามารถจะกระทำการอย่างอื่นได้แล้วจึงส่งมาเป็นทหาร พาให้คนทั้งหลายแลเห็นว่า ทหารเป็นบุคคลจำพวกที่เลวทรามกว่าพลเมืองสามัญ”
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่ของทหารเกณฑ์ในสมัยนั้นก็ไม่ได้เน้นการรบหรือการฝึกฝนอย่างจริงจัง แต่กลับมีสภาพไม่ต่างจากผู้ใช้แรงงานหรือข้ารับใช้ของเจ้านายที่ตนสังกัด ตอกย้ำสถานะทางสังคมอันต่ำต้อยของพวกเขา จน กรมหลวงนครไชยศรี ทรงเคยแสดงความเห็นว่า ประชาชนมองทหารว่าทำหน้าที่เหมือน "กุลี"
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นทหาร
เรื่องเล่าของการหลีกหนี: ความกลัวที่ฝังรากลึกในสังคม
ความกลัวและความพยายามหลีกหนีการเกณฑ์ทหารปรากฏให้เห็นผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งสะท้อนทัศนคติของผู้คนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
ข่าวลือที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
ในปี พ.ศ. 2427 ก่อนการเปิดเรียนของโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม ได้เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่า "เด็กที่เข้าเรียนจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร" ข่าวลือนี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้ปกครองจนพากันมาขอให้บุตรหลานลาออกเป็นจำนวนมาก เรื่องร้อนถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนต้องทรงออกประกาศชี้แจงด้วยพระองค์เองว่า
“…ที่พูดเล่าลืออย่างนี้ เป็นการไม่จริง ห้ามอย่าให้ผู้ใด พลอยตื่นเต้น เชื่อฟังคำเล่าลือนี้ เป็นอันขาด คนที่ควรจะชักเป็นทหาร ก็มีอยู่พวกหนึ่ง ต่างหาก ไม่ต้องตั้งโรงเรียนเกลี้ยกล่อมเด็ก มาเป็นทหารเลย
อนึ่ง เด็กทั้งปวงนี้ ก็ล้วนเป็นบุตรหลานไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสิ้นด้วยกัน ถ้าจะเก็บมาเป็นทหารเสียตรง ๆ นั้น จะไม่ได้หรือ จะต้องตั้งโรงเรียน เกลี้ยกล่อมให้ลำบาก และเปลืองพระราชทรัพย์ ด้วยเหตุใด…”
ทหารจำเป็นในคราวปราบฮ่อ
ในช่วงปี พ.ศ. 2428-2430 เมื่อเกิดกบฏฮ่อขึ้นที่เมืองหลวงพระบาง เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหาร มีกำลังพลไม่เพียงพอ จึงต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อมให้คนมาสมัครเป็นทหาร โดยให้สัญญาว่า "เมื่อรับราชการครบปีแล้ว จะปลดปล่อยจากการเกณฑ์ในอนาคตทั้งหมด" คำสัญญานี้จูงใจให้ชาวเมืองราชบุรีและเพชรบุรีสมัครเป็นทหารจำนวนมาก แต่ที่น่าสนใจคือ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ไม่มีใครสมัครเป็นทหารอีกเลย
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้เราเห็นภาพรวมของระบบการเกณฑ์ทหารในอดีตที่ทั้งหละหลวมและสร้างชื่อเสียให้กับผู้ที่ถูกเกณฑ์
บทสรุป: มรดกของ "ชื่อเสีย(ง)" ที่ถูกส่งต่อ
เรื่องราวในอดีตได้ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุใดการเป็นทหารเกณฑ์จึงเป็นสิ่งที่ผู้คนพยายามหลีกเลี่ยง โดยสามารถสรุปสาเหตุสำคัญได้ดังนี้
• ไม่ใช่ทหารอาชีพ: การเกณฑ์ทหารในยุคจารีตคือการเกณฑ์แรงงาน ไม่ใช่การสร้างกองทัพอาชีพ ผู้ที่ถูกเกณฑ์เป็นเหมือนชาวนาที่ถูกเรียกมาจับอาวุธเมื่อเกิดสงคราม มากกว่าจะเป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝน
• ทางเลือกด้วยเงิน: ระบบการจ่ายเงินเพื่อผ่อนผันได้กลายเป็นเครื่องมือคัดกรองทางสังคมที่ทำให้ผู้ที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารเหลือเพียงกลุ่มคนที่ยากจนและไม่มีทางเลือก
• ภาพลักษณ์เชิงลบ: ทหารเกณฑ์ถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนยากจน, คนต้องโทษ, หรือคนที่เลวทรามที่สุดในสังคม และต้องทำงานหนักเยี่ยง "กุลี" รับใช้เจ้านาย
"ชื่อเสีย(ง)" และภาพลักษณ์อันต่ำต้อยของทหารเกณฑ์ในยุคจารีตนี้เอง ที่ได้กลายเป็นมรดกทางความคิดและทัศนคติที่ส่งผลต่อมุมมองของผู้คนเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารในยุคต่อๆ มา และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมการเลี่ยงทหารจึงเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
อ้างอิงจาก: ตำนานการเกณฑ์ทหาร: ต้นกำเนิดทหารไทย เป็นงานพระนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงความเป็นมาของการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ (ระบบไพร่/เกณฑ์เลข) จนถึงช่วงต้นของการปรับปรุงกองทัพให้เป็นสมัยใหม่ หนังสือนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของระบบการเกณฑ์คนเข้ามารับราชการทหาร/แรงงาน (ไพร่) ในอดีต และการเปลี่ยนผ่านที่มาสู่ระบบเกณฑ์ทหารในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความคิดที่ว่า การถูกเกณฑ์คือการเสียโอกาส หรือเป็นเรื่องของ "คนไม่มีเงิน" ที่ต้องเข้ารับราชการแทนการจ่ายเงิน (ไถ่ตัว), ทหารไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แม้ชื่อหนังสือจะกว้าง แต่ภายในเล่มมีบทความที่วิเคราะห์บทบาทของกองทัพและทหารไทยในมิติทางประวัติศาสตร์ การเมือง และสังคม รวมถึงการตั้งคำถามต่อความจำเป็นและการดำรงอยู่ของทหารในยุคสมัยต่าง ๆ การอ่านหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เข้าใจบริบททางความคิดและโครงสร้างอำนาจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดทัศนคติเชิงลบต่อการเป็นทหารเกณฑ์ในสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถิติหวย ย้อนหลัง 10 ปี เลขท้าย 2 ตัว งวด 30 ธันวาคม
ช่องอานม้าแตก! ทหารไทยรุกยึดบังเกอร์ ปักธงชาติคืนพื้นที่
เจาะเลขเด็ดปกสลาก งวด 2 ม.ค. 69 ต้อนรับปีใหม่ปีมะเมียทอง
BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลก
เอกสารลับ หลุด แฉคําสั่ง แผนสังหๅร 2 พ่อลูกตระกลูฮุน
เดือดข้ามคืน ทหารไทยเปิดฉากยิง ก่อนระดมปืนใหญ่ถล่มฐานทหารกัมพูชาพื้นที่ปอยเปต
สอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกราย
ไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !
วิมานบนดินที่ไร้เงาเจ้าของ เจาะปมคฤหาสน์ลอยฟ้า 658 ล้านที่กลายเป็นเพียงอนุสรณ์แห่งความล้มเหลว
สูตรคำนวณงวด 2/1/69
เขมรไม่มีคิดหยุด แต่คิดว่าจะรบไทยให้ชนะด้วย F-35 ได้อย่างไรในอนาคต
ช่องอานม้าแตก! ทหารไทยรุกยึดบังเกอร์ ปักธงชาติคืนพื้นที่
ทฤษฎี 3 เดือน ทฤษฎีของการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ
ญี่ปุ่นยกระดับเกณฑ์การขอวีซ่าถาวร! จะเพิ่มความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในข้อกำหนดสำหรับการยื่นขอใบอนุญาต
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
พืชพันธุ์ไม้น่าสนใจ : “โลบิเวีย” แคคตัสที่มีดอกสวยงาม มากมายสีสัน มือใหม่ก็เลี้ยงได้ไม่ยากน๊า....
ทึ่งทั่วไทย : องค์พระพิฆเนศ ขนาดใหญ่ ที่ "วัดโพรงอากาศ" จังหวัดฉะเชิงเทรา
"พระพุทธรูปอุชิคุไดบุทสึ " รูปปั้นพระพุทธรูปปางยืนที่หล่อจากทองสัมฤทธิ์ที่สูงที่สุดในโลก
แก้วมังกร ผลไม้บ้านๆ แต่ประโยชน์แน่น ช่วยลำไส้ ผิวใส หัวใจแข็งแรง
