หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่อยากเป็น "ทหารเกณฑ์"? เจาะลึกรากความคิดจากประวัติศาสตร์

โพสท์โดย Thai Weapon Channel

ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่อยากเป็น "ทหารเกณฑ์"? เจาะลึกรากความคิดจากประวัติศาสตร์

เมื่อพูดถึง "ทหาร" ในปัจจุบัน หลายคนอาจนึกถึงภาพของผู้เสียสละ ผู้ปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่หากย้อนเวลากลับไปในอดีต การถูกเรียกไปรับราชการทหารหรือที่เรียกกันว่า "การเกณฑ์ทหาร" กลับเป็นสิ่งที่ผู้คน โดยเฉพาะไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน พยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด อะไรคือสาเหตุที่ทำให้การเป็นทหารในยุคจารีตของไทยกลายเป็นภาระที่ไม่มีใครต้องการ? เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์นี้จะพาเราไปสำรวจรากความคิดและทัศนคติที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

จุดเริ่มต้น: โลกของ "ไพร่" และการ "สักเลก"

ในยุคจารีตของไทยก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 สังคมยังไม่มีระบบ "ทหารอาชีพ" ที่ชัดเจน การเกณฑ์ทหารคือการรวบรวมกำลังคนจากราษฎรสามัญที่เรียกว่า "ไพร่" เพื่อมาเป็นแรงงานรับใช้ราชการ ซึ่งรวมถึงการเป็นแรงงานในกองทัพด้วย สถานะของไพร่ในสมัยนั้นผูกพันอยู่กับระบบ “ศักดินาสวามิภักดิ์” โดยราชสำนักไม่ได้ควบคุมไพร่โดยตรง แต่จะควบคุมผ่านเจ้านายหรือขุนนางอีกทอดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองดูแล แลกกับการที่ไพร่ต้องมารับใช้แรงงานตามที่ถูกเรียกตัว

กระบวนการที่จะยืนยันว่าชายผู้นั้นต้องทำหน้าที่รับราชการคือการ "สักเลก" หรือ "เกณฑ์เลข" ซึ่งกำหนดให้ชายอายุระหว่าง 18-60 ปี ต้องไปขึ้นทะเบียนที่ กรมพระสุรัสวดี อันเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลการเกณฑ์ไพร่พล จากนั้นเจ้าพนักงานจะทำการสักที่ท้องแขนหรือหลังมือเพื่อระบุตัวตนและสังกัดกรมกองอย่างชัดเจน เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว ไพร่จะมีภาระหน้าที่ต้องเข้ารับราชการตามกำหนด เช่น ไพร่ที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองชั้นในจะถูกเรียกตัวเข้ามารับราชการที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 2 เดือนต่อปี อย่างไรก็ตาม การสักเลกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์จะกระทำอย่างเข้มงวดในเขตราชธานีและหัวเมืองชั้นในเท่านั้น ทำให้มีไพร่อีกจำนวนมากในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ถูกเกณฑ์มารับราชการ

แม้การรับราชการจะเป็นหน้าที่สำคัญ แต่สำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ ก็ยังมีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่าการใช้แรงงาน

ทางสองแพร่ง: จ่ายเงินเพื่ออิสรภาพ หรือ รับใช้แรงงาน?

นับตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ ราชสำนักได้เปิดช่องทางให้ไพร่สามารถ "ผ่อนผัน" การเกณฑ์แรงงานได้ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทหารเกณฑ์ในเวลาต่อมา

• ทางเลือกของผู้มีทรัพย์: ไพร่สามารถจ่ายเงินให้กับขุนนางในสังกัดของตน เพื่อแลกกับการไม่ต้องมารับราชการได้ ยกตัวอย่างในสมัยรัชกาลที่ 5 ไพร่หลวงต้องจ่ายเงินประมาณ 9-12 บาทต่อปี เพื่อแลกกับอิสรภาพนี้

• กลไกการแบ่งปันผลประโยชน์: เงินที่ไพร่จ่ายไม่ได้เข้ารัฐทั้งหมด แต่เป็นระบบที่เอื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าขุนมูลนายด้วย โดยเจ้ากรมจะเก็บเงินเหล่านี้ส่งให้กรมพระสุรัสวดี และมีการแบ่งส่วนหนึ่งให้กับเจ้ากรมและนายกองในฐานะผู้ควบคุมไพร่

• ผลกระทบที่สำคัญที่สุด: วิธีการนี้ได้แบ่งแยก "ไพร่" ออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน คือ กลุ่มที่จ่ายเงินได้ กับ กลุ่มที่จ่ายไม่ได้ ทำให้ผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปรับราชการกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีทางเลือกอื่นในชีวิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบอย่างเป็นระบบ

แล้วคนที่ไม่มีเงินจ่ายต้องเผชิญกับชะตากรรมและสายตาจากสังคมอย่างไร?

ภาพลักษณ์ที่ถูกตีตรา: เมื่อทหารเกณฑ์คือ "คนที่เลวทราม"

เมื่อระบบคัดกรองคนด้วยเงินตราถูกนำมาใช้ คนที่เหลืออยู่และต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารจึงถูกสังคมตีตราว่ามีสถานะที่ต่ำต้อยกว่าคนทั่วไป พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้สะท้อนภาพลักษณ์ของทหารเกณฑ์ในยุคนั้นไว้อย่างชัดเจนว่ามาจากคน 3 กลุ่มหลัก คือ

1. เป็น คนที่ไม่มีเงิน พอจะจ่ายค่าผ่อนผัน

2. เป็น คนที่ต้องโทษทัณฑ์ บางอย่าง

3. เป็น คนที่เลวทรามที่สุด ในท้องถิ่น หรือทำอะไรไม่เป็น

ภาพลักษณ์อันเลวร้ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงความคิดของคนทั่วไป แต่ยังปรากฏในมุมมองของชนชั้นนำด้วย ดังหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญสองชิ้นนี้

พระราชดำรัสในรัชกาลที่ 5

“…เพราะคนที่ส่งมาเป็นทหารนั้น เฉพาะแต่คนที่ไม่มีเงินเสียส่วนประการหนึ่ง คนที่เปนโทษบางอย่างประการหนึ่ง ฤๅผู้ที่เลวทรามที่สุดในพื้นเมืองนั้น คือจะทำอะไรไม่ได้เปนต้นก็มี…”

บันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

“คนในมณฑลอีสานซึ่งเลือกคัดส่งมารับราชการทหารอย่างทุกวันนี้ ตกอยู่ในชนชั้นเลวที่มีความผิดหรือไม่สามารถจะกระทำการอย่างอื่นได้แล้วจึงส่งมาเป็นทหาร พาให้คนทั้งหลายแลเห็นว่า ทหารเป็นบุคคลจำพวกที่เลวทรามกว่าพลเมืองสามัญ”

ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่ของทหารเกณฑ์ในสมัยนั้นก็ไม่ได้เน้นการรบหรือการฝึกฝนอย่างจริงจัง แต่กลับมีสภาพไม่ต่างจากผู้ใช้แรงงานหรือข้ารับใช้ของเจ้านายที่ตนสังกัด ตอกย้ำสถานะทางสังคมอันต่ำต้อยของพวกเขา จน กรมหลวงนครไชยศรี ทรงเคยแสดงความเห็นว่า ประชาชนมองทหารว่าทำหน้าที่เหมือน "กุลี"

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นทหาร

เรื่องเล่าของการหลีกหนี: ความกลัวที่ฝังรากลึกในสังคม

ความกลัวและความพยายามหลีกหนีการเกณฑ์ทหารปรากฏให้เห็นผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งสะท้อนทัศนคติของผู้คนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

ข่าวลือที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม

ในปี พ.ศ. 2427 ก่อนการเปิดเรียนของโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม ได้เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่า "เด็กที่เข้าเรียนจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร" ข่าวลือนี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้ปกครองจนพากันมาขอให้บุตรหลานลาออกเป็นจำนวนมาก เรื่องร้อนถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนต้องทรงออกประกาศชี้แจงด้วยพระองค์เองว่า

“…ที่พูดเล่าลืออย่างนี้ เป็นการไม่จริง ห้ามอย่าให้ผู้ใด พลอยตื่นเต้น เชื่อฟังคำเล่าลือนี้ เป็นอันขาด คนที่ควรจะชักเป็นทหาร ก็มีอยู่พวกหนึ่ง ต่างหาก ไม่ต้องตั้งโรงเรียนเกลี้ยกล่อมเด็ก มาเป็นทหารเลย

อนึ่ง เด็กทั้งปวงนี้ ก็ล้วนเป็นบุตรหลานไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสิ้นด้วยกัน ถ้าจะเก็บมาเป็นทหารเสียตรง ๆ นั้น จะไม่ได้หรือ จะต้องตั้งโรงเรียน เกลี้ยกล่อมให้ลำบาก และเปลืองพระราชทรัพย์ ด้วยเหตุใด…”

ทหารจำเป็นในคราวปราบฮ่อ

ในช่วงปี พ.ศ. 2428-2430 เมื่อเกิดกบฏฮ่อขึ้นที่เมืองหลวงพระบาง เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหาร มีกำลังพลไม่เพียงพอ จึงต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อมให้คนมาสมัครเป็นทหาร โดยให้สัญญาว่า "เมื่อรับราชการครบปีแล้ว จะปลดปล่อยจากการเกณฑ์ในอนาคตทั้งหมด" คำสัญญานี้จูงใจให้ชาวเมืองราชบุรีและเพชรบุรีสมัครเป็นทหารจำนวนมาก แต่ที่น่าสนใจคือ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ไม่มีใครสมัครเป็นทหารอีกเลย

จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้เราเห็นภาพรวมของระบบการเกณฑ์ทหารในอดีตที่ทั้งหละหลวมและสร้างชื่อเสียให้กับผู้ที่ถูกเกณฑ์

บทสรุป: มรดกของ "ชื่อเสีย(ง)" ที่ถูกส่งต่อ

เรื่องราวในอดีตได้ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุใดการเป็นทหารเกณฑ์จึงเป็นสิ่งที่ผู้คนพยายามหลีกเลี่ยง โดยสามารถสรุปสาเหตุสำคัญได้ดังนี้

• ไม่ใช่ทหารอาชีพ: การเกณฑ์ทหารในยุคจารีตคือการเกณฑ์แรงงาน ไม่ใช่การสร้างกองทัพอาชีพ ผู้ที่ถูกเกณฑ์เป็นเหมือนชาวนาที่ถูกเรียกมาจับอาวุธเมื่อเกิดสงคราม มากกว่าจะเป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝน

• ทางเลือกด้วยเงิน: ระบบการจ่ายเงินเพื่อผ่อนผันได้กลายเป็นเครื่องมือคัดกรองทางสังคมที่ทำให้ผู้ที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารเหลือเพียงกลุ่มคนที่ยากจนและไม่มีทางเลือก

• ภาพลักษณ์เชิงลบ: ทหารเกณฑ์ถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนยากจน, คนต้องโทษ, หรือคนที่เลวทรามที่สุดในสังคม และต้องทำงานหนักเยี่ยง "กุลี" รับใช้เจ้านาย

"ชื่อเสีย(ง)" และภาพลักษณ์อันต่ำต้อยของทหารเกณฑ์ในยุคจารีตนี้เอง ที่ได้กลายเป็นมรดกทางความคิดและทัศนคติที่ส่งผลต่อมุมมองของผู้คนเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารในยุคต่อๆ มา และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมการเลี่ยงทหารจึงเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

 

โพสท์โดย: กับข้าวกับปลา
อ้างอิงจาก: ตำนานการเกณฑ์ทหาร: ต้นกำเนิดทหารไทย เป็นงานพระนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงความเป็นมาของการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ (ระบบไพร่/เกณฑ์เลข) จนถึงช่วงต้นของการปรับปรุงกองทัพให้เป็นสมัยใหม่ หนังสือนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของระบบการเกณฑ์คนเข้ามารับราชการทหาร/แรงงาน (ไพร่) ในอดีต และการเปลี่ยนผ่านที่มาสู่ระบบเกณฑ์ทหารในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความคิดที่ว่า การถูกเกณฑ์คือการเสียโอกาส หรือเป็นเรื่องของ "คนไม่มีเงิน" ที่ต้องเข้ารับราชการแทนการจ่ายเงิน (ไถ่ตัว), ทหารไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แม้ชื่อหนังสือจะกว้าง แต่ภายในเล่มมีบทความที่วิเคราะห์บทบาทของกองทัพและทหารไทยในมิติทางประวัติศาสตร์ การเมือง และสังคม รวมถึงการตั้งคำถามต่อความจำเป็นและการดำรงอยู่ของทหารในยุคสมัยต่าง ๆ การอ่านหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เข้าใจบริบททางความคิดและโครงสร้างอำนาจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดทัศนคติเชิงลบต่อการเป็นทหารเกณฑ์ในสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Thai Weapon Channel's profile


โพสท์โดย: Thai Weapon Channel
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการีพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯสภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปีUnseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย"ธรรมนัส" สวนดราม่าจัดซีเกมส์ ย้ำไทยพร้อม 100% แต่ขอทำแบบ "พึ่งตัวเองล้วนๆ"Unseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัย“ศุภจี” เฮ! ARASCO ซาอุฯ สั่งซื้อมันสำปะหลังอัดเม็ดเพิ่ม 3 หมื่นตัน ปีหน้าลุ้นพุ่งแตะ 1 แสนตัน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ตรวจพบมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3 จากอาการที่หมอเห็น ทำให้หมอรู้สึกว่า "ละเลยมานานเกินไป!"ทึ่งทั่วโลก : นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ SequoiaUnseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัยงดจ้าง vs เลิกจ้าง ต่างกันยังไง? ไม่เข้าใจมีสิทธิ “พัง” แบบไม่รู้ตัว!
ตั้งกระทู้ใหม่