เบื้องหลังธงเจ เรื่องเล่าสมาคมลับ "อั้งยี่" กับเทศกาลกินเจ
เมื่อถึงเดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติ เรามักจะเห็นธงสีเหลืองที่มีตัวอักษร "เจ" (齋) ประดับประดาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เป็นสัญญาณของการเริ่มต้น "เทศกาลกินเจ" ประเพณีแห่งการทำบุญ ชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า เบื้องหลังประเพณีที่ดูสงบและเปี่ยมศรัทธานี้ อาจซ่อนเร้นเรื่องราวของการต่อสู้ทางการเมือง สมาคมลับ และภารกิจปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนเอาไว้?
1. ทำความรู้จัก "สมาคมลับ" ผู้อยู่เบื้องหลัง
แกนนำสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดนี้คือ "สมาคมลับ" ที่มีบทบาทอย่างสูงในการเมืองจีนยุคราชวงศ์ชิง พวกเขาเป็นองค์กรใต้ดินที่มีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
1.1. พวกเขาคือใคร?
• หงเหมิน (洪门): เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในภาษาจีนกลาง
• อั่งมึ้ง: เป็นสำเนียงแต้จิ๋วที่คนไทยเชื้อสายจีนคุ้นเคย
• อั้งยี่: เป็นคำที่ใช้เรียกขานสมาคมนี้โดยทั่วไปในประเทศไทย
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ คำว่า หง (洪) ในชื่อสมาคมนั้น ไม่ได้หมายถึง "สีแดง" อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่หมายถึง "น้ำหลาก" หรือ "ไหลหลาก" ซึ่งสะท้อนถึงอุดมการณ์และความมุ่งมั่นของพวกเขา นอกจากนี้ สมาคมยังมีชื่อเชิงสัญลักษณ์อื่นๆ อีก เช่น ซันเหอฮุ่ย (三合会) ซึ่งแปลว่า "สามประสาน" (ฟ้า ดิน และมนุษย์) สะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์และความยิ่งใหญ่ของเครือข่ายพวกเขา
1.2. เป้าหมายสูงสุด: "โค่นชิงฟื้นหมิง" ภารกิจหลักที่ยึดเหนี่ยวสมาชิกทุกคนไว้ด้วยกันคืออุดมการณ์ที่ชัดเจนและทรงพลัง นั่นคือ "โค่นชิงฟื้นหมิง" ซึ่งหมายถึงการโค่นล้มราชวงศ์ชิงของชาวแมนจู (ผู้ปกครองจากนอกด่าน) เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์หมิงของชาวฮั่น (ซึ่งเป็นชาวจีนโดยแท้) ให้กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานและเรื่องราวการก่อตั้งสมาคมที่เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน
2. จุดกำเนิดของสมาคมหงเหมิน: ตำนานและความจริง
ที่มาของสมาคมหงเหมินนั้นถูกเล่าขานผ่านตำนานและทฤษฎีหลากหลายเรื่องราว ซึ่งแต่ละเรื่องก็สะท้อนแง่มุมที่แตกต่างกันไป
2.1. หลากหลายเรื่องเล่าขาน เราสามารถสรุปทฤษฎีกำเนิดของสมาคมหงเหมินที่สำคัญได้ 3 ทฤษฎี ดังตารางต่อไปนี้
|
ทฤษฎี |
เรื่องราวโดยย่อ |
ความน่าเชื่อถือ |
|
ทฤษฎีที่หนึ่ง |
ก่อตั้งโดยขุนนางเก่าสมัยราชวงศ์หมิง มี เจิ้งเฉิงกง (พ.ศ. 2167-2205) เป็นผู้นำคนแรก ใช้ชื่อว่า "สมาคมฟ้าดิน" (เทียนตี้ฮุ่ย) เพราะถือว่าฟ้าคือพ่อ ดินคือแม่ |
แพร่หลายที่สุด และนักประวัติศาสตร์บางส่วนมองว่ามีความเป็นไปได้สูง |
|
ทฤษฎีที่สอง |
เกิดขึ้นหลังจากวัดเส้าหลินใต้ถูกราชวงศ์ชิงหักหลังและเผาทำลาย มี หลวงจีน 5 องค์ หนีรอดมาได้ และร่วมกับพรรคพวกก่อตั้งสมาคมขึ้น |
เป็นตำนานที่คล้ายกับเรื่อง "อั้งยี่" ที่เล่าโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ |
|
ทฤษฎีที่สาม |
ก่อตั้งโดย หลวงจีนหงเอ้อร์ ที่มณฑลฮกเกี้ยน เพื่อรวบรวมผู้คนต่อต้านราชวงศ์ชิง |
เชื่อถือได้มากที่สุด ในทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานเอกสาร |
2.2. ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุด จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นักวิชาการส่วนใหญ่ให้น้ำหนักกับทฤษฎีที่สาม โดยระบุว่าสมาคมนี้ก่อตั้งโดย หลวงจีนหงเอ้อร์ (อีกชื่อหนึ่งคือ ว่านถีสี่) ในปี พ.ศ. 2304 โดยมีศูนย์กลางแรกเริ่มในมณฑลฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และเจ้อเจียง พวกเขามีปณิธานร่วมกันที่ใช้เป็นคำปฏิญาณในการรวมพลว่า:
"น้ำป่าไหลหลากลงใต้ฟ้า หยดเลือดร่วมสาบานร่วมแซ่หง"
แล้วสมาคมลับทางการเมืองที่มุ่งมั่นกับการปฏิวัติเช่นนี้ เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีการกินเจที่ดูสงบเยือกเย็นได้อย่างไร? คำตอบนั้นอยู่ในกลยุทธ์อันชาญฉลาดของพวกเขา
3. เทศกาลกินเจ: ฉากบังหน้าของการปฏิวัติ
เมื่อการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยเป็นไปได้ยาก การใช้ประเพณีและความเชื่อจึงกลายเป็นเครื่องมือที่แยบยลที่สุด
3.1. กลยุทธ์การเคลื่อนไหว นักวิชาการอย่าง ถาวร สิกขโกศล ได้ให้ทัศนะที่น่าสนใจผ่านงานเขียนของเขา โดยอ้างอิงถึงความเห็นของ หลี่เทียนซี่ ว่า กลุ่มหงเหมิน (อั้งยี่) ได้ใช้เทศกาลกินเจเป็น *ฉากบังหน้า* เพื่อดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมือง เทศกาลนี้เป็นโอกาสอันดีที่ผู้คนจะมารวมตัวกันจำนวนมากโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย ทำให้สามารถซ่องสุมกำลังพล วางแผน และขยายเครือข่ายสมาชิกเพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิงได้อย่างแนบเนียน
3.2. จากจีนสู่โพ้นทะเล การใช้เทศกาลกินเจเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเพณีนี้แพร่หลายในดินแดนโพ้นทะเลอย่างน่าทึ่ง
1. การปราบปรามในจีน: เมื่อราชสำนักชิงเริ่มระแคะระคายและปราบปรามกลุ่มอั้งยี่อย่างหนัก โดยเฉพาะในศูนย์กลางอย่างมณฑลฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และเจ้อเจียง ก็ทำให้การจัดเทศกาลกินเจในบริเวณนั้นพลอยเสื่อมความนิยมและซบเซาลงไปด้วย
2. การหลบหนีสู่โพ้นทะเล: สมาชิกอั้งยี่จำนวนมากจึงต้องอพยพหลบหนีออกจากแผ่นดินจีนมายังดินแดนต่างๆ เช่น สยาม (ประเทศไทย) และมลายู (มาเลเซีย)
3. การตั้งหลักในดินแดนใหม่: ณ ดินแดนใหม่นี้เอง พวกเขาได้สร้าง โรงเจ ขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวจีน และที่สำคัญคือเป็นสถานที่สำหรับรวมพลและเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป ด้วยเหตุนี้ ประเพณีกินเจในไทยและมาเลเซียจึงกลับมีความคึกคักและแพร่หลายยิ่งกว่าในจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียอีก 3.3. รหัสลับในโรงเจ ความน่าทึ่งยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะโรงเจที่กลุ่มอั้งยี่สร้างขึ้นมักจะซุกซ่อนรหัสลับเอาไว้ โดยเฉพาะ กลอนคู่ (ตุ้ยเหลียน) ที่ประดับอยู่ตามเสาหรือทางเข้า ซึ่งเนื้อหาในกลอนเหล่านั้นมักจะแฝงความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อถึงภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา นั่นคือ "โค่นชิงฟื้นหมิง"
เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ถักทอประวัติศาสตร์การเมืองเข้ากับประเพณีความเชื่อได้อย่างแยกไม่ออก จนกลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน
4. บทสรุป: จากสมาคมลับสู่ประเพณีที่ยั่งยืน
เทศกาลกินเจที่เราปฏิบัติกันในทุกวันนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงประเพณีเพื่อการละเว้นเนื้อสัตว์และสร้างบุญกุศลเท่านั้น แต่ยังมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและน่าตื่นเต้นกว่าที่คิด มันคือมรดกที่เกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองของสมาคมลับ "อั้งยี่" ที่ใช้ความศรัทธาเป็นเกราะกำบัง และใช้โรงเจเป็นฐานที่มั่นในการเคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเห็นธงเจสีเหลืองโบกสะบัด ขอให้ระลึกว่าเบื้องหลังสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์นั้น คือเรื่องราวการต่อสู้เพื่อชาติกำเนิดที่น่าจดจำ
อ้างอิงจาก: หนังสือ: 2425 อั้งยี่ครองเมือง ประเด็นสำคัญ: แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเน้นไปที่ประวัติศาสตร์ของสมาคมลับอั้งยี่ในสยามโดยรวม แต่ก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจบริบททางสังคมและการเมืองของชาวจีนอพยพในสมัยนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทศกาลกินเจเริ่มแพร่หลาย การเข้าใจบทบาทของอั้งยี่ในการควบคุมและจัดตั้งชุมชนจีนจะช่วยให้เห็นภาพรวมขององค์กรที่อาจเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งโรงเจในอดีต, บทความ หรือ งานวิจัยเกี่ยวกับ "ตั้วเหี่ย 大兄 กับ อั้งยี่ 洪字" หรือเรื่องราวของชาวจีนอพยพและสมาคมลับ, "2425 อั้งยี่ครองเมือง" (กล่าวถึงความเป็นมาของอั้งยี่อย่างละเอียด)
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
จรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกัน
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
คุกกี้เสี่ยงทาย... ทายนิสัยความขี้อ้อนของคนเกิดทั้ง 7 วัน
"เหมย หมึกเป็นซาซิมิ" แฉผัวตัวดีแอบกินกิ๊กเด็กในร้าน
ทำไมการเล่าเรื่องของตัวเองให้คนที่ไม่สนิทฟัง ถึงสบายใจกว่า การเล่าให้คนสนิทฟัง เมื่อคนแปลกหน้าอาจเป็นเซฟโซนมากกว่าคนใกล้ตัว
"กล้วยหอม" จากผลไม้พื้นบ้านสู่สินค้าเปลี่ยนโลก
Trip “พม่า ท่าขี้เหล็ก” ฉบับคนไปทำงาน
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
ปรับทัศนคติให้ถูกทาง
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
เปิดตำนานคุณลุงซานต้า: จากนักบุญใจบุญยุคโบราณ สู่ชายชุดแดงพุงพลุ้ยที่โคคา-โคล่าช่วยปั้น! 🎅🦌
อันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัว
ทึ่งทั่วโลก :แม่น้ำสองสี "อารากวี" (Aragvi) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามน่าทึ่งในประเทศจอร์เจีย
