“พระกาฬชัยศรี” โองการสาปแช่ง....ไม่เชื่ออย่าลบลู่

        ผู้เขียนได้เขียนเรื่อราวเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ไสยเวทย์ ศาสตร์ลึกลับ ศาสตร์มืด ข้อสงสัยต่างๆกับสิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้อย่างชัดเจนทั่วทุกมุมโลก อันเกิดจากข้อสงสัยของตัวผู้เขียนเอง จึงเป็นที่มาของการก่อกำเนิดซีรีย์กระทรวงเวทย์มนต์ และการป้องกันภัยจากศาสตร์มืด วันนี้จะขอเล่าเรื่องราวในเรื่องของโองการในการสาปแช่งของไทย กับ มนต์พระกาฬ ว่าแต่ คำสาป และคำสาปแช่ง และพระกาฬเกี่ยวข้องกันอย่างไร ผู้เขียนขอสรุปให้พอสังเขป แต่จะไม่ลงลึกถึงรายละเอียด พิธีกรรมและมนต์นะคะ

            “คำสาป” หรือเรียกอีกอย่างว่า การ สาปแช่ง , การสาปแช่ง , การสาป แช่ง , การสาปแช่ง , การสาปแช่งอนาธิมาหรือการสาป แช่งหมู่ คือความปรารถนา ที่แสดงออกมา ว่าความทุกข์ยากหรือโชคร้ายจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นกับบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งคน

    “คำสาป” อาจรวมหมายถึง ความปรารถนาหรือคำประกาศที่มีผลโดยพลังเหนือธรรมชาติ หรือพลัง วิญญาณเช่นเทพเจ้าวิญญาณ หรือพลังธรรมชาติ หรืออาจเป็น คาถาชนิดหนึ่งที่ใช้เวทมนตร์ (โดยปกติคือเวทมนตร์ดำหรือเวทมนตร์ดำ ) หรือคาถาอาคมในความหมายหลังนี้

            คำสาปยังสามารถเรียกว่าคำสาปหรือคำสาปแช่งในหลายระบบความเชื่อ ตัวคำสาปเอง (หรือพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้อง ) ถือว่ามีพลังบางอย่างที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ การย้อนกลับหรือขจัด      ในบางตำรากล่าวว่า “คำสาป”บางครั้งเรียกว่า “การถอน” หรือ “การทำลาย” เนื่องจากคาถาต้องถูกปัดเป่า และมักต้องใช้พิธีกรรมหรือคำอธิษฐานที่ซับซ้อน

            ในประเทศไทยเอง โองการสาปแช่งมีหลายอย่าง หลายประเภท มีข้อมูลค้นพบในบทประพันธ์ วรรณกรรมหลากหลาย ที่เป็นที่รู้จักกันคือ “ลิลิตโองการแช่งน้ำ” หรือแม้ในละครบุพเพสันนิวาสยังได้กล่าวถึง “มนต์กฤษณะกาลี” แต่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง “โองการแช่งน้ำ” หรือ “มนต์กฤษณะกาลี” แต่ขอเล่ามาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “พระกาฬชัยศรี” กับโองการสาปแช่ง ที่ชื่อว่า”มนต์พระกาฬ” ก่อนที่เราจะมารู้จักโองการสาปแช่งนี้ มาทำความรู้จัก "พระกาฬ" หรือ "พระกาฬไชยศรี" กันก่อน

ตำนาน"พระกาฬ" หรือ "พระกาฬไชยศรี"

             พญายมราชจะมีผู้ช่วยสำคัญในการไปนำดวงวิญญาณของสัตว์โลกมาสู่แดนปรโลก หรือแดนยมโลกคือ "พระกาฬชัยศรี" ปรากฏอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานครและศาลเจ้าพ่อพระกาฬ จ.ลพบุรี

             "พระกาฬชัยศรี" มีเทวลักษณะ​พระกาฬชัยศรีเป็นเทพมีสี่กร กรหนึ่งถือดวงไฟ หมายถึง ดวงวิญญาณหรือไฟธาตุมนุษย์ , กรหนึ่งถือบ่วงบาศเป็นสัญลักษณ์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้จับดวงวิญญาณทั้งปวง , กรหนึ่งถือพระขรรค์เป็นอาวุธประจำองค์ ขี่นกเค้าแมว หรือ นกแสกเป็นพาหนะ

            “พระกาฬ” เป็นบริวารของพญายมราช ทำหน้าที่เก็บดวงวิญญาณต่างๆ บ้านไหนที่จะมีคนตาย ท่านจะทรงนกแสกบ้าง นกเค้าแมวบ้าง(ตามโบราณที่ว่านกแสกเกาะบ้านจะมีลางร้าย) ไปเกาะหลังคาบ้านร้องเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือบันดาลนิมิตดีร้ายให้ทราบ  หากผู้นั้นมีปัญญาจะได้รีบขวนขวายทำบุญก่อนจะหมดโอกาสในโลก โบราณจึงกลัวนกแสก นกเค้าแมว ด้วยเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายแสดงสิ่งอันไม่เป็นมงคล เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายนั่นเอง

“มนต์พระกาฬ” โองการสาปแช่ง คาถาอันรุนแรงตั้งแต่อักขระตัวมนต์

             เนื่องจาก “มนต์พระกาฬ” นี้เป็นคาถาที่ร้ายแรงรุนแรงตั้งแต่ตัวมนต์คาถา วิธีการสวดภาวนาการปรุงจิต ขั้นตอนการทำวิชา ตลอดจนการถือที่ยากพอสมควร การถือส่วนใหญ่จะเป็นในทางการพูดคำพูด เหตุว่าเมื่อเรียนวิชานี้ได้ขึ้นใจจำได้แม่นยำแล้ว เมื่อหมั่นสวดภาวนาทุกวันเสมอไม่ขาดแล้ว จะไม่สามารถพูดคำหยาบ ทำไม่ดี ดุด่าว่ากล่าวลูกหลาน คนใกล้ชิดไม่ได้เด็ดขาด หากดุด่าใครบุคคลนั้นจะเป็นเช่นนั้นทันที  ดังนั้นใครที่คิดจะศึกษามนต์นี้ต้องคิดให้ดีกว่าก่อนว่าสามารถปฏิบัติตามข้อนี้ได้หรือไม่ ดั่งเรื่องเล่าของหลวงพ่อกวย วัดบางแค ดังนี้

            ครั้งหนึ่ง มีตำรวจเข้ามาจับในวัด หากจำไม่ผิดน่าจะมาจับไพ่ คือ มีการแกล้งกันหรืออย่างไรไม่ทราบ มีคนแจ้งว่ามีการเล่นพนันในวัด หรือมาตามจับคนในวัดบ้านแคหลวงพ่อกวยสมัยนั้น ซึ่งจำไม่ได้แน่นอน เอาว่าเข้ามาจับคนในวัด ตำรวจนายนี้เป็นนายดาบ และรู้จัก คุ้นเคยหลวงพ่อกวย แต่ไม่ใช่ศิษย์ของท่าน ตำรวจเข้ามาจับคนในวัดหลวงพ่อกวย ท่านออกมาขอว่าให้เกียรติท่านหน่อย ในวัดในวาไม่เห็นแก่หน้าท่านเลย ท่านบอกให้พูดกันดีๆ แต่ ตร. นายนี้ไม่สน จับคนใส่กุญแจมือไม่สนใจคำพูดหลวงพ่อ ทำให้หลวงพ่อกวยท่านทนไม่ไหวจึงพลั้งปากว่า ตำรวจนายนี้ว่า “ไอ้สันขาด” พูดขาดคำ ตำรวจผู้นี้ไหล่หลุดทั้งสองข้างทันทีล้มลงร้องโอดโอย นี้เป็นความเข้มขลังเด็ดขาด เชื่อว่า “มนต์พระกาฬ” นี้ก็ต้องมีส่วนด้วยแน่นอน แม้นตัว ลพ.กวย ท่านก็ต้องขลังด้วยตัวท่านและอำนาจจิตด้วยอีกทอดหนึ่ง

            คาถานี้หลวงพ่อกวย ท่านใช้เสกผงพระของท่านๆ ว่ามนต์นี้เป็นของแรง ในตำราของท่านที่มีคาถานี้ หน้าที่มีคาถานี้ท่านใช้ปากกาแดงเขียนว่า “แรงระวัง” เพื่อเตือนศิษย์ไว้ คาถานี้ความจริงเป็นคาถาทางมนต์ดำด้วย คือ สามารถนำไปใช้แช่งคน ทำให้ชิบหายตายโหง บ้านแตกมีอันเป็นไปต่างๆ นานาได้

            ในตำราคาถาของ หลวงพ่อกวย “มนต์พระกาฬ” ของท่านถูกศิษย์ผู้ได้ตำรานี้เอากาวทาติดปิดหน้าคาถานี้ไปแล้ว เพราะกลัวคนนำเอาไปใช้ไปเรียนทำในทางไม่ถูกไม่ควร จะส่งผลร้ายเป็นบาปมหันต์

            วัตถุมงคลที่ได้รับการปลุกเสกด้วย “มนต์พระกาฬ” นี้ พระอาจารย์ผู้รอบรู้ว่ามนต์พระกาฬนี้หากใครภาวนาบูชาอยู่เสมอจนขลังแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนใดชาย-หญิง หากคิดร้ายทำลายทำการไม่ดีกับผู้ถือคาถานี้จะมีอันเป็น หากคิดให้เขาเป็นอะไร ทำเขาอย่างไร บุคคลนั้นจะถูกคาถานี้สะท้อนกลับไป สุดท้ายหากคิดปองร้ายหมายชีวิตเขาไม่จบสิ้น บุคคลผู้คิดร้ายจะเสียชีวิตเสียเอง

            แต่มีเคล็ดว่าผู้ถูกทำร้ายทำลายจะต้องอยู่ในศีลธรรมไม่อาฆาตคิดร้ายโต้ตอบ เขาจะเหมือนสาดน้ำขึ้นฟ้า ฉันใด น้ำนั้นจะตกลงราดรดตัวผู้สาด สาดน้อยเปียกน้อย สาดมากเปียกมาก ฉันนั้น ..... พระอาจารย์ผู้รอบรู้จึงนำคาถานี้มาเสกประจุคาถานี้ลงในพระเครื่องวัตถุมงคล เพื่อหวังผลทางมหาสะท้อนให้คนคิดร้ายมีอันเป็นไปตามกรรมของการกระทำของเขาเอง เพื่อช่วยเหลือศิษย์ของท่านหรือคนดีที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากคนพาลสันดานหยาบ ที่มักเบียดเบียนกลั่นแกล้ง ไม่ยอมเลิกราก็จะได้ผลกรรมนั้นทันตา

            สิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย ที่เสกด้วย “คาถามนต์พระกาฬ” ท่านมักจะห้ามเสมอว่าอย่าเอาพระท่านไปลอง อย่าเอาไปยิงส่งเดช ท่านว่าหากวันใดคนยิงเป็นช่วงดวงตก หรือชะตาขาด หรือประหม่าจิตไม่ดีขณะลองมนต์นี้จะสะท้อนทันที บางคนล้มหมอนนอนเสื่อเจ็บไข้ได้ป่วยไปก็มี บ้างเสียขวัญต้องมาให้ท่านรดน้ำมนต์ก็มีมาตั้งแต่สมัยท่านแล้ว

            หากย้อนกลับไปในการใช้ “มนต์พระกาฬ” ในการสาปแช่งนั้น มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีบันทึกปรากฏถึงการแช่งศัตรูโดยใช้มนต์สาปแช่ง ซึ่งก็คือมนต์พระกาฬนี้เองกรรมวิธีการทำพิธีกรรม มีอยู่ว่าผู้ทำอยากให้ฝ่ายตรงข้ามมีอันเป็นไปขนาดไหน หากอยากให้เจ็บป่วยก็ได้ จะให้เจ็บหนักก็ได้ จะให้ตาย จะให้บ้านแตกได้ทั้งสิ้น .... อุปกรณ์มีเพียงอิฐมอญ ๑ ก้อน ให้เริ่มเสกวันเสาร์ โดยเอาชื่อ นามสกุล ผู้ที่เราจะทำเขามาเขียนลงบนอิฐมอญ หากได้วัน / เดือน / ปีเกิด / เวลาตกฟากด้วยยิ่งดี เมื่อได้มาแล้วเขียนลงบนอิฐแล้ว ให้เอาอิฐนี้มาเสกอาการ ๓๒ ให้แทนตัวเขา เสร็จแล้วนำอิฐมาวางลงผู้ทำใช้ขาขวาเหยียบลงบนอิฐเพียงขาเดียว คือ ยืนขาเดียวยามเสกให้เสกเวลาเที่ยงตรง ตะวันตรงหัวพอดีช่วงที่แสงแดดแสดเผาร้อนแรงที่สุด โดยขณะภาวนาให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ยืนขาเดียวเสก ..(บัง)... คาบ เมื่อครบแล้วลงจากอิฐเอาอิฐไปไว้ที่ท่าเรือ ท่าน้ำที่มีคนเดินขึ้นลง เดินข้าม พอวันใหม่ก็ไปหยิบเอามาทำเช่นเดิมอีก พอทำเสร็จก็ไปไว้ที่ท่าน้ำตามเดิมทำเช่นนี้  ทำวิชานี้ ๑ – ๓ วัน ฝ่ายตรงข้ามจะป่วยไข้ได้เจ็บ (สั่งสอน),  ทำวิชานี้ ๔-๖ วัน ฝ่ายตรงข้ามจะเจ็บหนัก (ล้มป่วยหนัก),  ทำวิชานี้ ๗ วัน ให้เอาอิฐไปโยนลงในแม่น้ำมันตาย

            หากทำให้บ้านแตกให้เขียนชื่อคนผัวฝั่งหนึ่ง เขียนชื่อคนเมียอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองด้าน เสร็จแล้วนำมาเสก ๙ วัน แล้วกระทืบหินให้หักแตกออก แล้วเอาส่วนหนึ่งไปทิ้งปลายน้ำ อีกส่วนไปทิ้งต้นน้ำ เสร็จแล้วว่าคาถา ๓ จบกระทืบดินหันหลังกลับไม่ต้องหันไปมอง ไม่นานมันบ้านแตกอยู่ไม่ได้ต้องแตกแยกกัน แต่การทำเช่นนี้ผู้ทำจะต้องอาถรรพถ์จากคำแช่งของครูบาอาจารย์ จะโดนสายฟ้าผ่าตายอย่างอนาถ หากทำโดยเขาไม่ได้ทำร้ายเราจงถึงที่สุด ครูบาอาจารย์บอกไว้ว่าเมื่อใดโดนทำร้ายกลั่นแกล้งจน “น้ำตาไหลเป็นสายเลือด ถึงจะอนุญาต"

            จะเห็นได้ว่า “มนต์พระกาฬ” นี้ เป็นโองการสาปแช่งอย่างรุนแรง ที่มีข้อพึงปฏิบัติเยอะ ดังนั้นใครที่คิดจะศึกษามนต์นี้ พึงระลึกถึงกฎ ข้อห้ามของครูบาอาจารย์ และจริงๆแล้วก็ไม่ได้ใช้ในการสาปแช่ง แต่ยังใช้ในด้านพุทธคุณคือ การใช้มนต์นี้ในการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง

*************