การประชุมของผีเสื้อ
การประชุมของผีเสื้อ
โดย อักษราลัย
ยามเช้าคลี่คลายม่านหมอกเบาบางออกจากปลายหญ้าอย่างนุ่มนวล แสงแดดแรกของวันทอดแสงสีทองลออผ่านใบไม้ที่ยังเปียกชื้นจากค่ำคืน ท่วงทำนองของสายลมพลิ้วผ่านยอดไม้ เหมือนเสียงกระซิบของใครบางคนที่เคยอยู่มาก่อนจะหายไป
ณ ปลายกิ่งของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่สูงที่สุดในเขตทุ่งโล่ง ผีเสื้อปีกสวยหลากสีโบกปีกอย่างงามสง่า ท่ามกลางแสงแดดที่กรองผ่านละอองเกสร พวกมันกำลังเตรียมตัวสำหรับการประชุมประจำฤดู—การประชุมของชนชั้นผีเสื้อ ซึ่งถูกขนานนามว่า “สภาแห่งกลีบอิสระ”
บรรดาผีเสื้อที่มาร่วม ล้วนคัดมาจากแหล่งดอกไม้ชั้นเยี่ยมทั่วทุ่ง ทั้งจากแอ่งน้ำกลางป่าฝน ที่ราบสูงริมเขา ไปจนถึงสวนของมนุษย์ที่ถูกจัดแต่งด้วยมืออย่างประณีต เส้นสายสีบนปีกของพวกมันเจิดจ้า เย่อหยิ่ง และงามระยับจนแม้แต่สายตาของนกเบื้องล่างยังต้องชะงัก
เสียงของผีเสื้อเฒ่า ผู้มีปีกสีงาช้างแต้มทองซึ่งได้รับตำแหน่งประธานแห่งสายลม เปิดประชุมด้วยถ้อยคำที่ชุ่มล้นไปด้วยกลิ่นของอภิสิทธิ์
“เราผู้เป็นทายาทแห่งความงาม มีหน้าที่ดูแลเขตแดนแห่งกลีบดอกไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของสิ่งหยาบกร้าน”
บรรดาปีกบางเบาปรบปีกแผ่วเบาเป็นสัญญาณแห่งความเห็นชอบ ขณะที่กลีบดอกเบื้องล่างสั่นไหวเพราะละอองน้ำที่ไม่มีผีเสื้อใดสนใจบินเข้าไปหาอีกแล้ว
ท่ามกลางการสนทนาเรื่อง “การบริหารพื้นที่ดอกไม้ให้เกิดประสิทธิภาพแห่งการเกาะพักอันสูงสุด” ไม่มีใครกล่าวถึงการผสมเกสร หรือการแตะต้องละอองเรณูอีกต่อไป เพราะสำหรับพวกผีเสื้อสภา การหยิบยื่นสิ่งใดกลับคืนให้ดอกไม้ ดูจะเป็นภาระที่ไม่สง่างามเอาเสียเลย
“เราควรเว้นกลีบที่ซีดจากสายตาเถิด” ผีเสื้อสีม่วงครามลายหินอ่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่เด็ดขาด “กลีบจืดเหล่านั้นบั่นทอนภาพลักษณ์ของพวกเราเสียเปล่า ๆ”
เสียงสนับสนุนดังขึ้นเป็นระลอก ทั้งที่ไม่เคยมีใครบินต่ำลงไปสัมผัสกลีบจืดเหล่านั้นมานานหลายฤดูแล้ว
เบื้องล่างของการประชุม เหล่าดอกไม้เฝ้ามองท้องฟ้าด้วยความนิ่งเงียบ บางกลีบเริ่มเหี่ยว บางต้นโอนเอนไปทางแสงแดดที่เริ่มแผดเผา ไม่มีละอองเรณูใหม่ ไม่มีการแต่งงานระหว่างสายพันธุ์ ไม่มีการสานต่อของชีวิต
แมลงผสมเกสรอื่น ๆ เคยทำหน้าที่แทน แต่เมื่อกลิ่นหอมเริ่มอ่อนจาง พวกมันก็จากไป
เหลือเพียงผีเสื้อชนชั้นสูง ที่ยังคงล่องลอยเหนือยอดไม้ พร่ำถึง “เสรีภาพแห่งการบินสูง” และ “ศักดิ์ศรีของการไม่แตะดิน”
กลางการประชุมอันยืดยาว มีเสียงผีเสื้อหนุ่มตนหนึ่งที่ดูเงียบงันตลอดมาเอ่ยขึ้น
“ข้าพบว่าดอกไม้ที่เราเคยหยุดอยู่เมื่อนานมาแล้ว...ไม่เหลือกลิ่นเดิมอีกต่อไป”
ทุกสายตาหันมาหาเขา เสียงปีกเริ่มกระพือด้วยความไม่พอใจ
“และทุ่งที่เคยเคล้าไปด้วยกลิ่นเกสร ก็กลับเงียบงัน… ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกเลยนอกจากความงามที่เราใช้แล้วทิ้ง”
เสียงของเขาไม่ดังพอจะกลบเสียงหัวเราะอ่อน ๆ ที่ลอยตามลมมา
“เจ้าคิดว่าเจ้าคือผึ้งหรือไง?”
“จงจำไว้ว่า พวกเราเกิดมาเพื่อความงาม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์”
ไม่มีใครกล่าวถึงความงามที่ไร้ประโยชน์เลยสักคำ
ชายหนุ่มผีเสื้อค่อย ๆ บินจากไป ทิ้งการประชุมไว้เบื้องหลัง ทิ้งยอดไม้ ทิ้งสภา และโบยบินลงต่ำ สู่ดอกไม้แห้งเฉา กลีบซีดจางที่ไม่มีใครเหลียวแล เขาแตะลงอย่างอ่อนโยน พร้อมละอองเรณูที่เกาะขาโดยไม่ตั้งใจ
ดอกไม้กลีบนั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย เหมือนได้กลิ่นบางอย่างกลับคืนอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครเห็น เพราะบนยอดไม้ การประชุมยังดำเนินต่อไป
ฤดูผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง
แสงแดดกลายเป็นแสงที่แผดเผา แทนที่จะหล่อเลี้ยง ลมกลายเป็นลมหวนร้อนที่กรอบเกรียม ดอกไม้แห้งตายทั่วทุ่ง เบื้องล่างกลายเป็นผืนดินแข็งกระด้างที่แม้แต่แมลงก็ไม่คิดจะหยุดพัก
ไม่มีผึ้ง ไม่มีภมร ไม่มีผีเสื้ออื่นใดนอกจาก “สภาแห่งกลีบอิสระ” ที่ยังประชุมกันอย่างขะมักเขม้น—ในทุ่งที่ไม่มีดอกไม้หลงเหลือให้กล่าวถึงอีกแล้ว
“เราจะย้ายไปยังแหล่งดอกไม้ใหม่...”
“ใช่… ดอกไม้ของสวนมนุษย์ยังเหลืออยู่”
แต่เมื่อบินไปถึง พวกมันก็พบว่า…ไม่มีใครรอรับอีกต่อไป
กลีบดอกที่เคยยินดีต้อนรับ กลับปิดตัวแน่นสนิท
สวนของมนุษย์ใช้สารเคมีแทนแมลง และดอกไม้เหล่านั้นก็ไม่ต้องการปีกบางเบาที่มาเพื่อพร่ำพรรณนาโดยไม่ลงมือแตะต้องอีกต่อไป
“ทำไมดอกไม้ถึงไม่บานรับเราอีกแล้ว?”
“ทำไมกลิ่นเกสรถึงไม่มี?”
“ทำไมโลกถึงเงียบงัน?”
ไม่มีใครตอบได้
บางตัวพยายามตะโกน แต่เสียงไม่อาจดังไปกว่าเสียงลมแรงที่พัดผ่านกลีบดอกไม้ที่ไม่อ้าแขนรับ
และในที่สุด…ผีเสื้อหนึ่งตัวที่เหลืออยู่บนยอดไม้สูงสุด เอ่ยคำถามที่ไม่มีใครตอบ
“เราบินขึ้นมาสูงถึงเพียงนี้…เพื่ออะไร?”
ผีเสื้อบางตัวกระพือปีกอย่างร้อนรน ในความรู้สึกที่มันไม่อาจเรียกชื่อ
ไม่ใช่ความหิว
ไม่ใช่ความเหงา
ไม่ใช่แม้แต่ความกลัว
หากคือความว่างเปล่าที่เหมือนจะบางเฉียบ ทว่ากัดกร่อนอย่างแนบเนียน—เหมือนสายลมที่ไม่เย็นและไม่อุ่น แค่พัดผ่านโดยไม่มีใครรู้สึกอะไรเลย
“บางทีเราน่าจะกลับไปยังทุ่งเดิม…”
เสียงแผ่วเบาของผีเสื้อปีกสีน้ำเงินราวราตรีกาลถูกกลืนไปในเสียงกระพือของอีกหลายร้อยปีก
ไม่มีใครฟังเสียงนั้นจริงจัง เพราะในหมู่ชนชั้นผีเสื้อ การหันหลังกลับไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของพวกมัน
มันเลือกบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นไปอีก ขึ้นไปให้ไกลจากกลิ่นดิน จากสีของกลีบดอก จากเสียงกระซิบของธรรมชาติที่เคยเลี้ยงมันมา
โลกเบื้องล่างเริ่มแห้งแล้ง ไม่ใช่เพียงเพราะฤดูกาล แต่เพราะการละเลย แมลงตัวเล็ก ๆ ที่เคยวุ่นวายระหว่างกลีบ ถูกแทนที่ด้วยความนิ่งงัน กลีบดอกที่เคยหอมหวาน กลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชาที่แม้แต่ลมยังไม่อยากพัดพา
ผู้คนในทุ่ง เริ่มถอนต้นไม้ เปลี่ยนดินเป็นแผ่นหิน เรียกมันว่า “ทางเดินสวย” แล้วนำกระถางดอกไม้พลาสติกมาวางแทนต้นจริง
ในที่ที่ไม่มีแมลง…ย่อมไม่มีดอกไม้แท้
และในที่ที่ไม่มีดอกไม้แท้...ผีเสื้อก็เหลือเพียงบทกวีเปลือยเปล่าในโลกที่ไม่มีใครอยากอ่าน
คืนหนึ่งในปลายฤดู ผีเสื้อตัวหนึ่งบินหลงมาจากป่าไกล มันปีกขาดครึ่งหนึ่ง และมีคราบฝุ่นพอกอยู่ตามลำตัวอย่างหยาบกระด้าง
แต่มันบินได้…แม้จะเซ…แม้จะไร้ทิศทาง…แต่มันยังบิน
พวกในสภาหัวเราะ
“ดูสภาพสิ นั่นหรือคือสิ่งที่เจ้าอยากเป็น?”
“ไม่มีเส้นปีกให้ภาคภูมิ ไม่มีลวดลายให้จดจำ ไม่มีแม้แต่นามเรียกขาน”
แต่เจ้าผีเสื้อตัวนั้น ยิ้มในแบบของมัน—รอยยิ้มที่ไม่ต้องการเสียงปรบมือ
มันเล่าถึงป่าที่ไม่มีใครตั้งชื่อ
เล่าถึงแมลงตัวจ้อยที่ช่วยกันแบกเกสร
เล่าถึงดอกไม้เล็ก ๆ ที่เติบโตจากดินที่ไม่มีใครใส่ปุ๋ย
เล่าถึงโลกอีกฟากที่ไม่หรูหรา…แต่มีชีวิต
ผีเสื้อสภาบางตนเริ่มเงียบ ไม่ใช่เพราะเห็นด้วย
แต่เพราะไม่รู้จะแย้งอะไร
เมื่อปีกของตัวเอง—แม้จะงาม—กลับไม่เคยสัมผัสโลกเบื้องล่างมานานหลายรุ่นแล้ว
เช้าวันหนึ่ง กลางทุ่งแห้งแล้ง มีสิ่งหนึ่งแทรกตัวขึ้นมาท่ามกลางรอยแตกระแหงของดิน
ต้นเล็ก ๆ งอกเงยอย่างอวดกล้า
มันไม่มีกลิ่น
ไม่มีสีฉูดฉาด
ไม่มีแม้แต่ชื่อ
แต่สิ่งหนึ่งที่มันมีคือ “การเริ่มต้น”
และที่ปลายยอดของมัน มีดอกตูมเล็ก ๆ บานออก—อย่างไม่สนใจว่าผีเสื้อจะหันมามองหรือไม่
ผีเสื้อหนุ่มที่เคยพูดในการประชุมลุกขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ ไม่มีการประชุม
ไม่มีผู้ฟัง
มีเพียงเขา กับดอกไม้หนึ่งดอก กับสายลมหนึ่งสาย
เขาโบยบินช้า ๆ แตะกลีบอย่างเงียบงัน และในวินาทีนั้น กลีบดอกสั่นไหวเหมือนยิ้มออก
เกสรแตะเกสร
ชีวิตต่อชีวิต
ไม่มีใครปรบมือ
ไม่มีใครชื่นชม
แต่ดินเบื้องล่างเริ่มชุ่ม
เมล็ดเล็ก ๆ กระเด็นออกมาจากปลายกลีบ และตกลงในดินที่กำลังรอคอย
การประชุมของผีเสื้อครั้งใหม่…เริ่มขึ้นในความเงียบ
ไม่มีใครกล่าวเปิด
ไม่มีคำแถลงการณ์
ไม่มีการลงคะแนนเสียง
แต่มีปีกบางคู่แตะลงบนกลีบดอกไม้อย่างอ่อนโยน
ในโลกของความจริง…
มนุษย์บางคนอาจกำลังเดินผ่านทุ่งนั้น มองเห็นเพียงผีเสื้อธรรมดา กับดอกไม้ที่ไม่มีชื่อ
พวกเขาอาจถ่ายรูป อาจเดินเลยไป อาจไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเคยมีการประชุมของผีเสื้อที่เคยสูงส่ง และพังทลายลงมาเงียบ ๆ
เหมือนทุกอารยธรรมที่ลืมว่าตัวเองต้องอาศัยอะไร
และเมื่อลืม…ก็ไม่เหลืออะไรให้จำ
"อย่าบินสูงเสียจนลืมดิน และอย่าเชิดหน้าจนไม่เห็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่
าตา" ผีเสื้อบางตนเคยกระซิบไว้
แต่ไม่มีใครจด ไม่มีใครเขียนลงในรายงานสภา
เหลือเพียงกลีบดอกที่ยังยิ้มในสายลม กับบางปีกที่ไม่งาม...แต่กล้าแตะดิน
… จบ …
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย



