ดื้อโบ คืออะไร? เจาะลึกเกี่ยวกับการดื้อโบ เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้ไหม?
ดื้อโบ คืออะไร? เจาะลึกเกี่ยวกับการดื้อโบ เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้ไหม?
ภาวะดื้อโบคือปัญหาที่หลายคนกังวลเมื่อต้องฉีดโบ เพราะอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดีตามต้องการ และต้องพักนานก่อนฉีดใหม่ บทความนี้จะอธิบายว่า ภาวะดื้อโบคืออะไร เกิดจากอะไร มีอาการอย่างไร และวิธีป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ในอนาคต
ดื้อโบ คืออะไร?
การดื้อโบ คือ ภาวะที่ฉีดโบแล้วไม่ได้ผล เนื่องจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านสารโบ ทำให้ยาออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อลดลง ผลลัพธ์จึงไม่เป็นไปตามที่หวังหรืออยู่ได้น้อยกว่าปกติ
ดื้อโบ เกิดจากอะไร?
- ฉีดโบบ่อยเกินไปโดยไม่เว้นระยะ 3-4 เดือน ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านสารโบเพิ่มขึ้น
- ฉีดโบปริมาณมากเกินในครั้งเดียว อาจกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนเกิดดื้อโบ แพทย์จะควบคุมปริมาณไม่เกิน 300 ยูนิต
- ใช้โบปลอมไม่มีคุณภาพ หรือเก็บรักษาไม่ถูกวิธี ทำให้ตัวยาเสื่อมและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- เปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อย ฉีดหลายยี่ห้อ ร่างกายรับสารเป็นสิ่งแปลกปลอม กระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น เสี่ยงดื้อโบสูงขึ้น
ดื้อโบ มีอาการอย่างไร?
- ริ้วรอยไม่ลดลง หลังฉีดโบแล้วริ้วรอยยังชัด หรือเห็นผลน้อยมาก
- กล้ามเนื้อยังขยับได้ตามปกติ ปกติกล้ามเนื้อควรคลายตัว แต่ถ้าดื้อโบ กล้ามเนื้อจะยังขยับได้เหมือนเดิม หรือกลับมาขยับเร็ว
- ผลลัพธ์อยู่ได้น้อย ปกติออกฤทธิ์ 3-6 เดือน แต่ถ้าดื้อโบเห็นผลแค่ 1-2 เดือน หรือต่ำกว่านั้น
- ต้องใช้โบปริมาณมากขึ้น แม้เพิ่มสารก็อาจยังไม่เห็นผลตามต้องการ
ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ
ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ แบ่งเป็น 3 ระดับดังนี้
- ดื้อโบ ระยะที่ 1
ร่างกายตอบสนองลดลง ผลลัพธ์ยังเห็น แต่ระยะเวลาสั้นลง จากปกติ 4–6 เดือน เหลือ 1–2 เดือน
- ดื้อโบ ระยะที่ 2
สารออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ต้องเพิ่มปริมาณสารเพื่อเห็นผลตามต้องการ
- ดื้อโบ ระยะที่ 3
ไม่มีการตอบสนอง แม้เพิ่มปริมาณหรือเปลี่ยนยี่ห้อ กล้ามเนื้อยังขยับปกติ ริ้วรอยยังชัดเจน
ดื้อโบ สามารถแก้ไขได้อย่างไร?
การดื้อโบแก้ไขได้ โดยพักฉีดโบชั่วคราว เพื่อให้ภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำพักประมาณ 3–5 ปี หรือบางกรณีอาจนานถึง 10–20 ปี เพื่อให้ร่างกายกลับมาตอบสนองได้อีกครั้ง
ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจแนะนำทางเลือกอื่น เช่น ทำเครื่องยกกระชับ หรือฉีดฟิลเลอร์ระหว่างพักฟื้นจากโบ
ดื้อโบ อันตรายไหม?
การดื้อโบไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่จะทำให้โบออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ผลลัพธ์จึงไม่เป็นไปตามที่หวังและอาจเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ การฉีดโบบ่อยหรือใช้ปริมาณมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น ส่งผลในระยะยาวได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดเพื่อป้องกันภาวะดื้อโบ
วิธีป้องกันการดื้อโบ
การดื้อโบ เกิดจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านสารโบ ซึ่งยังไม่มีวิธีรักษาหายขาด แต่สามารถป้องกันได้โดย:
- เลือกใช้โบแท้ที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรองจาก อย. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์และเลขทะเบียนให้ชัดเจน
- ฉีดโบกับแพทย์ เพื่อประเมินและวางแผนรักษาอย่างเหมาะสม
- เลือกคลินิกมาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้องและได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
- เว้นระยะห่างในการฉีดอย่างน้อย 3–4 เดือน เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
- ฉีดโบในปริมาณที่พอดีตามคำแนะนำแพทย์ หลีกเลี่ยงการฉีดเกินความจำเป็น
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยหรือใช้หลายยี่ห้อในระยะเวลาสั้น เพื่อไม่กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากขึ้น
การปฏิบัติตามนี้ช่วยลดความเสี่ยงเกิดภาวะดื้อโบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฉีดโบ ยี่ห้อไหนดี?
การเลือกยี่ห้อโบที่มีคุณภาพและความบริสุทธิ์สูงช่วยลดความเสี่ยงการดื้อโบได้ ยี่ห้อแนะนำที่ได้รับการรับรองจาก อย. ได้แก่
- Allergan
ฉีดโบสัญชาติสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 3,500 ฉบับ ตัวยาบริสุทธิ์สูง โมเลกุลขนาดใหญ่ กระจายตัวจำกัด ทำให้ผลแม่นยำและเห็นผลเร็ว ผลลัพธ์คงทนนาน โอกาสดื้อโบต่ำมาก - Dysport
ฉีดโบจากอังกฤษ มีโปรตีนเจือปนน้อย โมเลกุลขนาดเล็ก กระจายตัวกว้าง เหมาะกับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ลิฟกรอบหน้า หรือลดเหงื่อ โอกาสดื้อโบต่ำ - Xeomin
ฉีดโบจากเยอรมัน ปราศจากโปรตีนเจือปน ช่วยลดโอกาสสร้างภูมิคุ้มกัน เหมาะกับผู้ที่เคยดื้อโบ ต้องเว้นระยะ 2-3 ปี ตัวยากระจายดี ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ - Nabota
ฉีดโบจากเกาหลีใต้ พัฒนากว่า 30 ปี ตัวยาบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไว เหมาะกับผู้ต้องการผลลัพธ์เร็วและงบประมาณจำกัด
ฉีดโบแต่ละบริเวณ ควรใช้กี่ยูนิต?
ปริมาณยูนิตที่ใช้ในการฉีดโบจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งและความรุนแรงของปัญหา โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมก่อนฉีด ซึ่งโดยทั่วไป ใช้ปริมาณประมาณนี้:
- หน้าผาก: 10–30 ยูนิต
- ระหว่างคิ้ว: 15–25 ยูนิต
- หางตา: 15–25 ยูนิต
- ปีกจมูก: 15–25 ยูนิต
- กราม: 50–100 ยูนิต
- กรอบหน้า: 30–50 ยูนิต
- รักแร้ (ลดเหงื่อ): 100–200 ยูนิต
การฉีดโบ คืออะไร?
การฉีดโบ คือ หัตถการด้านความงามที่ใช้สารโปรตีนจากแบคทีเรีย เพื่อคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดชั่วคราว ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น หน้าผาก หว่างคิ้ว หรือหางตา รวมถึงช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น เช่น ลดขนาดกรามและยกกระชับกรอบหน้า
นอกจากนี้ การฉีดโบยังสามารถใช้เพื่อบรรเทาปัญหาทางสุขภาพบางอย่าง เช่น ลดเหงื่อมากผิดปกติ ลดอาการปวดไมเกรน และอาการออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย
การฉีดโบ ช่วยเรื่องอะไร?
- ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า เช่น หน้าผาก หว่างคิ้ว หางตา
- ชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่จากการแสดงสีหน้า
- ลดขนาดปีกจมูก แก้ปัญหาจมูกบาน
- กระชับรูขุมขนให้ดูเล็กลง ผิวเนียนละเอียดขึ้น
- ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ช่วยให้ใบหน้าเรียวเล็ก
- ยกกระชับปรับรูปหน้าให้คมชัด มีมิติมากขึ้น
- ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และระงับกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ลดอาการไมเกรน และความถี่ของการปวดหัว
- บรรเทาอาการปวดจากออฟฟิศซินโดรม เช่น คอ บ่า ไหล่
การฉีดโบ เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า
- ผู้ที่ต้องการป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- ผู้ที่มีปีกจมูกบานจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
- ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ต้องการผิวเรียบเนียน
- ผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ หรือใบหน้าดูกว้าง
- ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัด
- ผู้ที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือมีกลิ่นตัว
- ผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรัง
- ผู้ที่มีอาการปวดจากออฟฟิศซินโดรม เช่น คอ บ่า ไหล่
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
- งดยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยากลุ่ม NSAIDs
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- งดทำทรีตเมนต์หรือสครับบริเวณที่ฉีด
- พักผ่อนให้เพียงพอก่อนเข้ารับบริการ
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบ
- ขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1–2 ครั้ง
- งดนอนราบ ก้มศีรษะต่ำ อย่างน้อย 3–4 ชั่วโมง
- ห้ามนวด จับ หรือกดแรงบริเวณที่ฉีด
- งดโดนความร้อนและแสงแดดจัด
- งดออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
การดื้อโบแม้ไม่อันตราย แต่ส่งผลให้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่คาดหวัง และอาจเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นควรป้องกันด้วยการเลือกใช้โบแท้ที่มีคุณภาพ ผ่าน อย. และปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อให้วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงการดื้อโบในระยะยาว











