เรื่องดีๆเกิดให้ชื่นใจมากเท่าไร ใจเรายิ่งเหลือพื้นที่ให้คิดแย่ๆน้อยลงเท่านั้น
เริ่มคิดไม่ดียังไม่ผิด
ไม่หาเรื่องดีมาคิดแทน นั่นแหละถึงเริ่มผิด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
จิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำเหมือนกับสายน้ำ
โลกนี้ไม่ปล่อยให้คุณสบายใจได้นานนัก
แล้วก็ไม่มีสถานที่ที่อยู่แล้วเกิดแต่กุศลจิตได้ตลอด
จิตมีแรงดึงดูดจากกิเลส จากสัญชาติญาณดิบ
ให้คิดอะไรที่ไม่ดีไม่งาม
หรือเป็นไปในทางที่จะเอาเข้าตัว หรือมีโทสะ
ไม่มีทางที่จะทวนกระแสขึ้นสู่ที่สูงได้
ยกเว้นแต่มีแรงผลักให้ย้อนคืนกลับไปขึ้นที่สูง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
#ตั้งต้นที่วิธีคิด
ความจริงก็คือ
จิตวิญญาณของคนเราสว่างหรือมืด
ได้ด้วยมโนกรรมเป็นหลัก
ในบรรดากรรมทั้งสาม
คือ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม นั้น
มโนกรรมมีอิทธิพลใหญ่ที่สุด
ครอบงำวจีกรรมและกายกรรมไว้ในตัว
ถ้าเราตั้งศรัทธาไว้ที่พระพุทธเจ้าได้
แล้วเอาวิธีคิดของพระองค์
มาเป็นวิธีคิดของเราได้
มันก็จะมีคำตอบสั้นๆให้กับชีวิต ก็คือ
คิดอะไรที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่น
คิดอะไรที่ทำให้รู้สึกใจสว่าง
มีความรู้สึกเบิกบาน
อันนั้นแหละ คือความรู้สึกที่ถูกต้อง
ความคิดที่มันออกจากความทุกข์
และคล้อยไปในทางความสุขได้
สำรวจตัวเองว่า
ความคิดแบบไหนที่มันยังมืดอยู่
ก็ปรับเป็นสว่างเสีย
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
#กรรมทวนกระแส
ความสบายใจและจิตที่เป็นกุศล
จึงต้องจุดชนวนขึ้นจากข้างใน ไม่ใช่ข้างนอก
คือ ต้องตั้งใจสร้าง ไม่ใช่ปล่อยใจรอ
ความตั้งใจที่จะสร้างความสบายใจ
และทำจิตให้เป็นกุศลนั่นเอง
คือ ‘กรรมทวนกระแส’
ความคิดสว่างที่ง่ายที่สุดก็คือ
อย่าเบียดเบียนกัน
ความคิดที่เป็นทาน
คิดในทางที่จะไม่เอา
เราต้องตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่า
เราจะเป็นคนที่อยู่ในเขต
ของการให้ทาน รักษาศีล
ถ้าคุณเป็นพวกมีน้ำใจ
ให้ทรัพย์ทาน อภัยทาน และธรรมทาน บ่อย
กับทั้งถือศีล ๕ บริสุทธิ์ครบทุกข้อ
มักมีชีวิตต่างไปจากเดิม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
กล่าวคือ
กรรมชั่วอันเป็นบาป
ย่อมนำไปสู่สภาพอันเป็นทุกข์
กรรมดีอันเป็นบุญ
ย่อมนำมาสู่สภาพอันเป็นสุข!
อ้างอิง : ดังตฤณ














