หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ พระผู้เปี่ยมเมตตา ผู้สร้างศรัทธาและความผูกพันกับคนทั้งประเทศ
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ หรือที่รู้จักกันในนามพระเทพวิทยาคม (เดิมชื่อ คูณ ฉัตรพลกรัง) เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่คนไทยทั้งประเทศให้ความเคารพศรัทธาอย่างกว้างขวาง แม้ท่านจะมรณภาพไปหลายปีแล้ว แต่เรื่องราวและคุณูปการของท่านยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีโอกาสได้พบเจอหรือติดตามข่าวสารของท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
หลวงพ่อคูณถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ. 2466 ที่จังหวัดนครราชสีมา ในครอบครัวชาวนาที่ค่อนข้างยากจน ท่านเป็นเด็กที่รักสงบ มีสัมมาคารวะ และไม่ชอบความรุนแรง ตั้งแต่วัยเด็กท่านได้เรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาขอมที่วัดบ้านไร่ แม้จะไม่ใช่คนหัวไว แต่เป็นคนตั้งใจเรียนและมีความสนใจในด้านคาถาอาคม
ก่อนที่จะบวช หลวงพ่อคูณเคยมีความฝันอยากเป็น "หมอเพลง" และ "นักเลง" แต่เมื่อได้ลองใช้ชีวิตตามความฝันเหล่านั้นแล้วกลับพบว่าไม่เหมาะกับตนเอง ในที่สุดด้วยคำแนะนำของน้าชายและน้าสะใภ้ ท่านจึงตัดสินใจบวชเป็นพระเมื่ออายุครบ 21 ปี ที่วัดถนนหักใหญ่ อำเภอเดียวกัน และได้รับฉายาว่า "ปริสุทโธ" ซึ่งหมายถึง "ผู้บริสุทธิ์"
หลังจากบวช หลวงพ่อคูณได้ศึกษาทั้งหลักธรรมและวิปัสสนา รวมถึงการเรียนด้านอาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป ท่านไม่ได้เพียงมุ่งศึกษาธรรมะเท่านั้น แต่ยังมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้คนในสังคม ท่านเริ่มสร้างวัตถุมงคลชิ้นแรกคือ ตะกรุดโทน ในปี พ.ศ. 2493 และออกธุดงค์ ก่อนจะกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านไร่อย่างถาวรในปี พ.ศ. 2495 ในขณะนั้นวัดบ้านไร่มีสภาพทรุดโทรม ท่านจึงเริ่มปฏิสังขรณ์วัดอย่างจริงจัง เริ่มจากการซ่อมแซมโบสถ์ และเมื่อการสร้างโบสถ์แล้วเสร็จ ท่านได้สร้างเครื่องรางของขลังเพื่อตอบแทนผู้ที่มาช่วยงาน ซึ่งนำไปสู่การบอกเล่าปากต่อปากถึงปาฏิหาริย์ ทำให้ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณโด่งดังเป็นพลุแตกจาก 2 เหตุการณ์สำคัญในปี พ.ศ. 2536 คือ เหตุการณ์โรงงานตุ๊กตาไฟไหม้ที่จังหวัดนครปฐม และ การถล่มของโรงแรมรอยัลพลาซ่าที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีผู้รอดชีวิตหลายรายอ้างว่าห้อยเหรียญหลวงพ่อคูณ และเหตุการณ์ที่ท่านทำนายว่าตึกที่เหลือจะไม่ถล่มลงมา สองเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนทั่วประเทศหลั่งไหลไปหาหลวงพ่อคูณ เพื่อขอให้ท่าน "เคาะหัว" ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่าน โดยท่านจะใช้หนังสือพิมพ์ม้วนเคาะศีรษะลูกศิษย์และญาติโยมเพื่อความเป็นสิริมงคล
ตลอดชีวิตของหลวงพ่อคูณ ท่านได้บริจาคเงินที่ได้รับจากการบริจาคและการบูชาวัตถุมงคลไปเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างมหาศาล ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สถานีอนามัย โรงเรียน วิทยาลัย สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ถนน รวมถึงอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ เช่น รถพยาบาล รถดับเพลิง เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ต่างๆ ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งท่านมีอายุ 71 ปี ยอดเงินบริจาคของท่านสูงกว่า 400 ล้านบาท (ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงมากในยุคนั้น) และยังคงมีการบริจาคอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังและมีเงินบริจาคจำนวนมหาศาล แต่หลวงพ่อคูณยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่เคยถือตัว ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักและศรัทธาของคนทุกระดับ
ในช่วงปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา หลวงพ่อคูณเริ่มมีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะโรคหัวใจ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นระยะ แม้จะอยู่ในช่วงที่สุขภาพไม่แข็งแรง แต่ก็ยังคงมีข่าวคราวการอัปเดตอาการของท่านอย่างต่อเนื่องในสื่อต่างๆ รวมถึงประเด็นเรื่องการปลุกเสกวัตถุมงคลในช่วงที่ท่านอาพาธหนัก ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงความเหมาะสม
สิ่งสุดท้ายที่หลวงพ่อคูณได้บริจาคเพื่อสังคมคือ ร่างกายของท่านเอง โดยได้เซ็นบริจาคเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และระบุไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนว่า หากมรณภาพจะต้องนำร่างไปเป็นอาจารย์ใหญ่ เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาต่อ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของท่านที่ต้องการให้ร่างกายเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาและสาธารณะ
หลวงพ่อคูณมรณภาพในปี พ.ศ. 2558 หลังจากนั้นร่างของท่านได้ถูกนำไปเป็นอาจารย์ใหญ่ตามพินัยกรรม และมีการจัดพิธีฌาปนกิจอย่างเรียบง่ายตามแบบแผน ถือเป็นการปิดฉากชีวิตของพระเกจิผู้ยิ่งใหญ่ที่อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาและช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด
หลวงพ่อคูณจึงเป็นมากกว่าพระเกจิอาจารย์ แต่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความเมตตา การเสียสละ และความเรียบง่าย ที่ยังคงอยู่ในใจของคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ และเรื่องราวของท่านยังคงถูกเล่าขานต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น















